สุภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย

กงกำกงเกวียน
ใช้เป็นคำอุปมาหมายความว่า เวรสนองเวร, กรรมสนองกรรม, เช่น ทำแกเขาอย่างไร ตนหรือลูกหลานก็อาจจะถูกทำในทำนองเดียวกันอย่างนั้นบ้าง เป็นกลกำกงเกวียน
กรวดน้ำคว่ำกะลา, กรวดน้ำคว่ำขัน
ตัดขาดไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
กระดังงาลนไฟ
หญิงที่เคยแต่งงานหรือผ่านผู้ชายมาแล้ว ย่อมรู้จักชั้นเชิงทางปรนนิบัติและเอาอกเอาใจ ผู้ชายได้ดีกว่าหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน
กระดี่ได้น้ำ
ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการดีอกดีใจจนตัวสั่น เช่น เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
กระต่ายขาเดียว, กระต่ายสามขา
ยืนกรานไม่ยอมรับ
กระต่ายตื่นตูม
ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่ายโดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้ก่อน
กระต่ายหมายจันทร์
ผู้ชายหมายปองผู้หญิงที่มีฐานะดีกว่า
กำขี้ดีกว่ากำตด
ได้บ้างดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
กินน้ำไต้ศอก
จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อยที่ต้องยอมล ให้แก่เมียหลวง)
กาคาบพริก
ลักษณะคนผิวดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแดง
กินบนเรือน ขี้บนหลังคา
คนเนรคุณ
กินปูนร้อนท้อง
ทำอาการมีพิรุธเอง, แสดงอาการเดือดร้อนขึ้นเอง
เกลือเป็นหนอน, ไส้เป็นหนอน
ญาติมิตร สามาภรรยา บุตรธิดา เพื่อนร่วมงาน หรือคนในบ้านคิดคดทรยศ
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน
ขนทรายเข้าวัด
หาประโยชน์ให้ส่วนรวม
ขมิ้นกับปูน
ชอบวิวาทกันอยู่เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน, ไม่ถูกกัน
ข่มเขาโคขืน
บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ เช่น จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์ให้กินหญ้าเราเหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
ขว้างงูไม่พ้นคอ
ทำอะไรแล้วผลร้ายกลับมาสู่ตัว ขวานผ่าซาก โผงผางไม่เกรงใจใคร (ใช้แก่กริยาพูด)
ขิงก็รา ข่าก็แรง
ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน, ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน, ต่างไม่ยอมลดละกัน
ขี้แพ้ชวนตี
แพ้ตามกติกาแล้วยังไม่ยอมรับว่าแพ้จะเอาชนะด้วยกำลัง, แพ้แล้วพาล'
ขุนไม่ขึ้น, ขุนไม่เชื่อง
เลี้ยงไม่เชื่องมีแต่เนรคุณ
เขียนเสือให้วัวกลัว
ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม
ไข่ในหิน
ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง
คงเส้นคงวา
เสมอต้นเสมอปลาย
คดในข้องอ ในกระดูก
มีสันดานคดโกง
คว่ำบาตร
ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย, เดิมหมายถึงสังฆกรรมที่พระสงฆ์ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้ประทุษร้ายต่อศาสนาด้วยการไม่คบ ไม่รับบิณฑบาต เป็นต้น
คางคกขึ้นวอ
คนที่มีฐานะต่ำต้อย พอได้ดิบได้ดีก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว
จระเข้ขวางคลอง
ผู้ที่ชอบกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้สะดวก เหมือนจระเข้ที่ขึ้นมาขวางคลองทำให้เรือผ่านไปผ่านมาไม่สะดวก
จับปลาสองมือ
หมายจะเอาให้ได้ทั้ง 2 อย่าง, เสี่ยงทำการพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจไม่สำเร็จทั้ง 2 อย่าง
จับปูใส่กระด้ง
ยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้
จับแพะชนแกะ
ทำอย่างขอไปที ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้นเข้าแทนเพื่อให้ลุล่วงก็ไป
ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
นำศัตรูเข้าบ้าน
ชักใบให้เรือเสีย
พูดหรือทำขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป
เด็กอมมือ
ผู้ไม่รู้ประสีประสา
ดินพอกหางหมู
ที่คั่งค้างค้างพูนขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กเมื่อวานซืน
คำกล่าวเชิงดูหมิ่นหรือเชิงสั่งสอนว่า มีความรู้หรือประสบการณ์น้อย
เด็ดบัวไม่ไว้ใย
ตัดขาด, ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด, มักใช้คู่กับ เด็ดดอกไม่ไว้ขั้ว เด็ดบัวไม่ไว้ใย
ตบตา
หลอกหรือลวงให้ให้เข้าใจผิด
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง
ทำอะไรฝ่ายเดียวไม่เกิดผล
ตบหัวลูบหลัง
ทำหรือพูดให้กระทบกระเทือนใจในตอนแรกแล้วกลับทำ หรือพูดเป็นการปลอบใจในตอนหลัง
ตัดหางปล่อยวัด
ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป
ตาลีตาเหลือก
อาการรีบร้อนลนลาน, ตื่นกลัว
ถวายหัว
ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อชาติ, เอาชีวิตเป็นประกัน, ทำจนสุดความสามารถ, ยอมสู้ตาย
ถ่านไฟเก่า
ชายหญิงที่เคยรักใคร่หรือเคยได้เสียกันมาก่อน แม้เลิกร้างกันไปเมื่อมาพบกันใหม่ ย่อมรักใคร่หรือปลงใจกันได้ง่ายขึ้น
ถอนหงอก
ไม่นับถือเป็นผู้ใหญ่, พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่
ถอดเขี้ยวถอดเล็บ
ละพยศ, ละความดุหรือร้ายกาจ, เลิกแสดงฤทธิ์แสดงอำนาจอีกต่อไป
ถอยหลังเข้าคลอง
หวนกลับไปหาแบบเดิม
ทองแผ่นเดียวกัน
เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน
ทองไม่รู้ร้อน
เฉยเมย, ไม่กระตือรือร้น, ไม่สะดุ้งสะเทือน
ท่าดีทีเหลว
มีท่าทางดี แต่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง
ทำนาบนหลังคน
หาผลประโยชน์ใส่ตนโดยขูดรีดผู้อื่น
ทำบุญเอาหน้า
ทำบุญอวดผู้อื่น ไม่ใช่ทำด้วย
นกต่อ
คนที่ทำหน้าที่ติดต่อหรือชักจูงหลอกล่อคนอื่นให้หลงเชื่อ (ใช้ในทางไม่ดี)
นายว่าขี้ข้าพลอย
พลอยพูดผสมโรงติเตียนผู้อื่นตามนายไปด้วย
น้ำขึ้นให้รีบตัก
มีโอกาสดีควรรีบทำ
น้ำบ่อน้อย
น้ำลาย
น้ำลดตอผุด
เมื่อหมดอำนาจความชั่วที่ทำไว้ก็ปรากฏ
บนบานศาลกล่าว
ขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
บอกเล่าเก้าสิบ
บอกกล่าวให้รู้
บ่างช่างยุ
คนที่ชอบส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน
บุกป่าฝ่าดง
พยายามต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ
ปลาข้องเดียวกัน
คนที่อยู่ร่วมกันหรือเป็นพวกเดียวกัน
ปลาหมอแถกเหงือก
กระเสือกกระสนดิ้นรน
ปากปลาร้า
ชอบพูดคำหยาบ
ปิดทองพระ
ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยกย่องเพราะไม่มีใครเห็นคุณค่า
ปิดประตูตีแมว
รังแกคนไม่มีทางสู้ไม่มีทางหนีรอดไปได้
ผ่อนหนักเป็นเบา
ลดความรุนแรง, ลดหย่อนลง
ผักชีโรยหน้า
การทำความดีเพียงผิวเผิน
ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ให้หรือแจกจ่ายอะไรไม่ทั่วถึงกัน
ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จผล
ฝากผีฝากไข้
ขอยึดเป็นที่พึ่งจนวันตาย
พูดเป็นนัย
พูดอ้อม ๆ โดยไม่บอกเรื่องราวตรง ๆ
พุ่งหอกเข้ารก
ทำพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมายหรือโดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อน
ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด
ฟังไม่ได้ความแจ่มชัด แล้วเอาไปพูดต่อหรือทำผิด ๆ พลาด ๆ
ม้าดีดกะโหลก
มีกิริยากระโดกกระเดกลุกลนหรือไม่เรียบร้อย (มักใช้แก่ผู้หญิง)
มีหน้ามีตา
มีคนนับถือ, มีเกียรติ, ได้รับความยกย่อง
แม่สื่อแม่ชัก ไม่ได้เจ้าตัว เอาวัวพันหลัก
หญิงที่ไปติดต่อระหว่างชายหญิงแต่ไม่สำเร็จในที่สุดก็ตกเป็นภรรยาของชายนั้นแทน
ไม่ใช่ขี้ไก่
ไม่เลว, มีอะไรดีเหมือนกัน ดูหมิ่นไม่ได้
ไม่มีเงาหัว
เป็นลางว่าจะตายร้าย
ไม้ใกล้ฝั่ง
แก่ใกล้จะตาย
ไม้เ้บื่อไม้เ้มา
ไม่ลงรอยกัน, ขัดแย้งเป็นประจำ
ยกตนข่มท่าน
ยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น, พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า
ยกเมฆ
เดาเอา, นึกคาดเอาเอง, กุเรื่องขึ้น
ยกหางตัวเอง
ยกตนเองว่าดีว่าเก่ง
รวบหัวรวบหาง
รวบรัดให้สั้น, ทำให้เสร็จโดยเร็วฉวยโอกาสเมื่อมีช่องทาง
รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา
ใฝ่ดีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วจะได้รับความลำบาก
ลมเพลมพัด
อาการที่เจ็บป่วยโดยไม่รู้สาเหตุมักเข้าใจว่าถูกกระทำ
ลิงหลอกเจ้า
ล้อหลอกผู้ใหญ่เวลาผู้ใหญ่เผลอ
วันพระไม่ได้มีหนเดียว
วันหน้ายังมีโอกาสอีก (มักใช้พูดเป็นเชิงอาฆาต)
วัวลืมตีน
คนที่ได้ดีแล้วลืมฐานะเดิมของตน
ศิษย์คิดล้างครู
ศิษย์เนรคุณที่มุ่งคิดทำลายล้างครูบาอาจารย์
ศิษย์มีครู
คนเก่งที่มีครู
สองจิตสองใจ
ลังเล, ตัดสินใจไม่ได้, เช่น จะไม่เชียงใหม่ดีหรือไม่ไปดี ยังสองจิตสองใจอยู่
สิ้นประตู
ไม่มีทาง
หนอนหนังสือ
คนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ
หมากัดไม่เห่า
คนที่ต่อสู้หรือตอบโต้โดยไม่เตือนล่วงหน้า
หมูในอวย
สิ่งที่อยู่ในกำมือ
หวานนอกขมใน
พูด ทำ หรือแสดงให้เห็นว่าดีแต่ภายนอก แต่ในใจกลับตรงข้าม
หอกข้างแคร่
คนที่ใกล้ชิดที่อาจคิดร้ายขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ มักใช้แก่ ลูกเลี้ยงที่ติดมากับพ่อหรือแม่, ศัตรูที่อยู่ข้างตัว
อมพระมาพูด
ใช้ในการพูดโดยอ้างพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประกอบเป็นพยาน มักใช้ในความปฏิเสธ เช่น ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ
นกน้อยทำรังแต่พอตัว
หมายถึง เป็นผู้น้อยทำอะไรต้องดูให้พอสมควรกับฐานะของตน เช่น มีเงินไม่มากนัก ก็สร้างบ้านพอประมาณมิใช่สร้างใหญ่โตเพิ่มภาระหนี้สินให้ครอบครัว
ตีงูให้กากิน
หมายถึง ลงทุนลงแรงทำสิ่งที่ไม่เป็นคุณแก่ตน มีแต่จะเป็นโทษแล้วยังกลับไปเป็น ประโยชน์แก่ผู้อื่นอีก เช่น ตีงูให้ตายแต่ไม่ได้นำงูมาเป็นอาหารกลับโยนงูให้กากิน
ขมิ้นกับปูน
หมายถึง คนสองคนที่ไม่ถูกกัน อยู่ใกล้กันเมื่อไรก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเมื่อนั้น
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
หมายถึง คนที่มีอำนาจราชศักดิ์ หรือเป็นใหญ่เป็นโตก็ย่อมข่มคนที่เป็นผู้น้อยหรือผู้น้อย เหมือนกับคนที่มีกำลังมากย่อมมีภาษีเหนือกว่าคนอ่อนแอ
ฆ่าช้างเอางา
หมายถึง การทำลายสิ่งที่ใหญ่โตลงทุนลงแรงไปมาก เพื่อให้ได้ของสำคัญเพียง เล็กน้อย โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะสมควรหรือไม่ขอให้ได้สิ่งที่ต้องการ
วัดรอยเท้า
หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสำนวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้พ่อ หรือ ใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้
ม้าดีดกระโหลก
หมายถึง กริยาท่าทางผลุบผลับกระโดกกระเดกลุกลน มักใช้ว่าผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อย จะลุก จะนั่งจะเดินเตะนั่นโดนนี่ กระทบโน่นไปรอบข้าง
จับปูใส่กระด้ง
หมายถึง การเปรียบเทียบกับเด็กๆที่ซุกซน ไม่ยอมอยู่นิ่งผู้ใหญ่ต้องคอยควบคุมดูแล ตลอดเวลา เพื่อให้เด็กอยู่ในระเบียบ
เป่าปี่ให้ควายฟัง
หมายถึง การพูดจาแนะนำสั่งสอนให้คนโง่เง่าฟัง เพื่อหวังให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเขาเอง แต่กลับไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะคนโง่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกับคนเป่าปี่ให้ควายฟัง ควายฟังไม่รู้เรื่อง
ขนทรายเข้าวัด
หมายถึง การทำประโยชน์ให้ส่วนรวม โดยการกระทำอย่างไรอย่างหนึ่งแม้ไป กระทบกระเทือนให้ผู้อื่นเสียประโยชน์ ก็ถือว่ายกให้กับส่วนรวมไม่ต้องมีอะไรมาชดเชยก็ได้
ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด
หมายถึง คนที่ทำความผิดอย่างร้ายแรง ย่อมไม่สามารถปกปิดความผิดของตนได้ หรือ พยายามหาหลักฐานมากลบเกลื่อน แต่ไม่สามารถปกปิดความผิดนั้นได้
ตักบาตรถามพระ
หมายถึง จะให้อะไรสักอย่างหนึ่งแก่ผู้อื่น ในเมื่อผู้นั้นเต็มใจรับอยู่แล้ว ไม่ต้องถามว่าจะ เอาหรือไม่เอา เมื่อจะให้ก็ให้ทีเดียว เหมือนกับถวายอาหารพระ พระท่านจะรับของทุกอย่าง ไม่มีการปฏิเสธ
ยืนกระต่ายขาเดียว
หมายถึง การพูดยืนยันคำเดียวไม่แปรผันหรือเปลี่ยนแปลงไป เช่น เขาไม่ได้ลักเงินไป จริงๆถามเขาตั้งร้อยครั้งเขาก็ยืนยันว่าไม่ได้อาไปจริง
วัวแก่อยากกินหญ้าอ่อน
หมายถึง ชายแก่ที่มีเมียสาวคราวลูกหลาน มักใช้เป็นคำเปรียบเปรย เมื่อเห็นคนที่มีอายุ มากไปจีบเด็กรุ่นลูกหลานหวังจะได้มาเป็นเมีย
สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ
หมายถึง สอนคนที่มีสันดานไม่ดีอยู่แล้ว ให้มีความเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น แล้วก็ก่อให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นมาภายหลัง
วัวหายล้อมคอก
หมายถึง เกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้ว จึงคิดหาหนทางป้องกัน เหมือนมีสมบัติไม่เก็บรักษา ให้ดี พอสมบัติหายไปแล้วจึงหาทางสร้างที่เก็บสมบัติ
ตาบอดได้แว่น
หมายถึง ได้รับสิ่งของที่มีคนเขาให้มา แต่ตัวเองไม่มีปัญญาจะใช้ เช่น มีคนให้พัดลมมา แต่ที่บ้านไม่มีไฟฟ้าเป็นต้น
ปลากระดี่ได้น้ำ
หมายถึง การแสดงอาการดีใจจนออกหน้าดูแล้วเกินงาม ส่วนใหญ่แล้วจะว่าผู้หญิงที่ แสดงอาการดีใจ และท่าทางไม่เรียบร้อย
ขี่ช้างจับตั๊กแตน
หมายถึง การจัดทำสิ่งใดที่เป็นการโกลาหลโดยใช่เหตุ หรือธุระที่ทำนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อย ไม่น่าจะต้องลงทุนหรือเตรียมการใหญ่โตเกินต้องการ เหมือนคนลงทุนมากได้ ผลตอบแทนน้อย
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
หมายถึง ไม่ช่วยทำงานแล้วเกะกะขัดขวาง ทำให้งานเดินไปไม่สะดวก เหมือนกับคนที่นั่งไป ในเรือไม่ช่วยทำงาน แต่ยังไปเอาเท้าไปราน้ำให้เรือแล่นช้า
วัดรอยเท้า
หมายถึง มุ่งจะโต้ตอบ มุ่งแก้แค้น มุ่งอาฆาต เป็นสำนวนที่ใช้กับลูกที่คิดจะสู้ลูก หรือ ใช้กับผู้น้อย คิดจะหักล้างผู้ใหญ่ที่เคยบังคับบัญชาตนมาก็ได้
หนีเสือปะจระเข้
หมายถึง คนที่มีความทุกข์กำลังจะได้รับอันตราย ไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น แต่กลับไปพบความทุกข์อันตรายอีก จากบุคคลที่ไปขอพึ่งพิง
กระต่ายตื่นตูม
หมายถึง การตกใจเกินกว่าเหตุ เมื่อมีเหตุอะไรเกิดขึ้น ยังไม่ทันพิจารณาให้ถี่ถ้วนก็ตกใจไป ก่อนแล้ว เหมือนกับนิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูม
จับปลาสองมือ
หมายถึง ต้องการตำหนิชายหรือหญิงที่ใจไม่แน่นอน เช่น รักคนสองคนในเวลา เดียวกัน ดีไม่ดีคนรักอาจหลุดมือไปทั้งสองคนเลยก็ได้
ไข่ในหิน
หมายถึง สิ่งต่างๆ หรือสิ่งใด ที่มีลักษณะเปราะมอมบางอ่อนแอ ต้องทะนุถนอมเป็น พิเศษ ไม่ให้ได้รับอันตรายหรือเกิดการเสียหายได้
ดินพอกหางหมู
หมายถึง การปล่อยงานคั่งค้างอยู่เรื่อยๆ เพราะมัวแต่ผัดวันประกันพุ่ง ในไม่ช้างานที่คั่ง ค้างนั้นจะพอกพูลมากขึ้นทุกที จนเป็นภาระที่หน้าเบื่อหน่ายภายหลัง
คางคกขึ้นวอ
หมายถึง การประชกประชันหรือเสียดสีเมื่อปรากฏว่าบุคคลใด บุคคลหนึ่งซึ่งขาดลักษณะ เหมาะสมได้รับการยกย่อง จนเกินฐานะและพื้นเพเดิม
เอาเป็ดไปขันประชันไก่
หมายถึง การเอาของที่ไม่ดี ไม่มีค่ามาแทนของดีของมีค่า เช่น นำทองแดงหัวพลอยไป แทน แหวนทองคำ ฝังเพชร เป็นต้น

ปราชญ์สอนว่า.....

โดย: ขงจื้อ

 

  • เมื่อยากจนก็ยังชื่นชมในคุณธรรม เมื่อมั่งมี ก็ยังชื่นชมในมารยาทจริยธรรม

  • ไม่ต้องเป็นหว่งคนอื่นที่ไม่เข้าใจเรา แต่ต้องเป็นหว่างว่าเรา ไม่เข้าใจคนอื่น

  • การศึกษา ค้นคว้า ถ้าเอนเอียงไปสุดสายไม่ว่าข้างใดข้างหนึ่ง ก็มีแต่ผลเสียเท่านั้น

  • การที่ยอมรับว่าไม่รู้นั้น ก็คือความที่รู้แล้ว

  • บัณฑิตคิดถึงว่า ทำอย่างไรจะเพิ่มพูนคุณธรรมของตนได้ คนพาลคิดถึงว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นความเป็นอยู่ของตนสะดวกสบายขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

  • บัณฑิตรู้เฉพาะเรื่อง ที่ชอบด้วยคุณธรรม คนพาลรู้เฉพาะเรื่องที่ได้ผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม

  • ความผิดอันเนื่องมาจากการประหยัดนั้น มีน้อยเหลือเกิน

  • ผู้ที่คุณธรรมย่อมไม่ถูกทอดทิ้งโดยโดดเดี่ยว และจะต้องมีเพื่อนบ้านมาคบหา

  • บัณฑิตมีความอ่อนน้อมถ่อมตน รับใช้ราษฎรด้วยสติปัญญา มีความเอื้ออาทร ใช้ราษฎรโดยชอบด้วยเหตุผล

  • ไม่คิดถึงความชั่วของคนอื่นในอดีตกาล จึงมีคนโกรธท่านน้อย

  • จงเป็นนักศึกษาในแบบบัณฑิต อย่าเป็นนักศึกษาในแบบคนพาล

  • ตั้งใจมุ่งมั่นอยู่กับคุณธรรม ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ละทิ้งความเมตตาธรรม ท่องเที่ยวไปในศิลปะวิชาการ

  • สุรุ่ยสุร่ายเกินไปก็จะอวดหยิ่ง ประหยัดเกินไปก็จะเป็นคนคับแคบ แต่เป็นคนอวดหยิ่งสู้เป็นคนคับแคบดีกว่า

  • บัณฑิตย่อมมีจิตใจกว้างขวางราบรื่น คนพาลย่อมมีความกลัดกลุ้มอึดอัดตลอดเวลา

  • อ่อนน้อมแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นเรื่องเหนื่อยเปล่า ระมัดระวังแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นความขลาดกลัว

  • กล้าหาญแต่ไม่มีจริยธรรม จะกลายเป็นก่อการร้าย ซื่อตรงแต่ไม่มีจริยธรรม จะเป็นภัยแก่คนอื่น

  • ยังปรนนิบัตติคนที่มีชีวิตไม่เป็น จะปรนนิบัติเซ่นไหว้เทพเจ้ากับผีได้อย่างไรเล่า

  • บัณฑิตมีความสามัคคีต่อกัน แต่ความคิดกับการกระทำไม่เหมือนกัน คนพาลมีความคิดกับการกระทำเหมือนกัน แต่ไม่มีความสามัคคี

  • ปรนนิบัติบัณฑิตเป็นเรื่องง่าย แต่ทำให้บัณฑิตรักเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะว่าถ้าไม่ชอบด้วยลักษณะธรรมบัณฑิตก็ไม่รัก

  • ต่างตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน อยู่กันด้วยความสามัคคี เรียกว่าเป็นนักศึกษาได้

  • ในระหว่างเป็นเพื่อนกันต้อง ตักเตือนให้กำลังใจกันและกัน ในระหว่างพี่น้องต้องสามัคคีกัน

  • เมื่อรักเขาจะไม่ให้กำลังใจเขาได้หรือ เมื่อซื่อสัตย์ต่อเขาจะไม่ตักเตือนสั่งสอนเขาได้หรือ

  • บัณฑิตย่อมมีความอับอายที่พูดไปแล้วนั้น เกินกว่าที่ทำไป

  • ปราชญ์ย่อมหลีกเลี่ยงสังคมที่เลวร้าย สถานที่เลวร้าย มารยาทที่เลวร้าย และวาจาที่เลวร้าย

  • ผู้ที่ไม่มีการไตร่ตรองให้ยาว ในอนาคตไกลจะต้องมีภัยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

  • ตำหนิตนเองให้มาก ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ก็จะไม่มีใครโกรธแค้น

  • รวมอยู่กันเป็นหมู่ ตลอดวันไม่เคยพูดถึงธรรมที่ชอบ ทำตนเป็นคนฉลาดในเรื่องเล็กๆน้อย ต่อไปเห็นจะลำบาก

  • บัณฑิตขอร้องกับตนเอง ส่วนคนพาลนั้นจะขอร้องกับคนผู้อื่น

  • บัณฑิตทีความภาคภูมิใจในตนเอง โดยไม่แย่งชิงความภาคภูมิใจของคนอื่น บัณฑิตมีความสามัคคี แต่ไม่เล่นพวกกัน

  • พูดไพเระาตลบแตลงทำให้สูญเสียคุณธรรม เรื่องเล็กไม่อดกลั้นไว้จะทำให้แผนเรื่องใหญ่เสีย

  • ทุกคนเกลียดก็ต้องพิจารณา ทุกคนรักก็ต้องพิจารณา

  • เพื่อนที่ซื่อตรง เพื่อนที่มีความชอบธรรม เพื่อนที่มีความรู้ ทั้ง 3 ประเภทนี้มีประโยชน์แก่เรา

  • เพื่อนที่ประจบสอพลอ เพื่อนที่ทำอ่อนน้อมเอาใจ เพื่อนที่ชอบเถียงโดยไม่มีความรู้ ทั้ง 3 ประการนี้เป็ยภัยแก่เรา

  • บัณฑิตมีความกลัวอยู่ 3 ประการ กลัวประกาศิตของสวรรค์ กลัวผู้มีอำนาจ กลัวคำพูดของอริยบุคคล

  • นิสัยคนมีความเหมือนกัน แต่การศึกษาทำให้แตกต่างกัน

  • เฉพาะคนที่มีปัญญาสูง กับคนที่โง่มากเท่านั้น ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเขาได้

  • รักความเมตตาแต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ถูกหลอกลวงง่าย รักความรู้แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ความรู้นั้นกระจัดกระจายไม่มีฐานที่ตั้ง

  • รักความซื่อสัตย์ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นภัยแก่ตนโดยง่าย รักพูดตรงความจริง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่การพูดจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นได้โดยง่าย

  • รักความกล้าหาญ แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่ก่อความไม่สงบได้ง่าย รักความเข้มแข็ง แต่ไม่มีการศึกษา เสียอยู่ที่เป็นคนมุทะลุได้ง่าย

  • อ่านหนังสือโดยไม่ค้นคิด การอ่านจะไม่ได้อะไร ค้นคิดโดยไม่ได้อ่านหนังสือ การค้นคิดจะเปล่าประโยชน์

  • ทบทวนเรื่องเก่าและรู้เรื่องใหม่ขึ้นมาอีก ก็จะเป็นครูได้

  • นักศึกษาสมัยก่อน ศึกษาเพื่อให้ตนมีความสำเร็จในการศึกษา นักศึกษาในปัจจุบัน ศึกษาเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีการศึกษา

  • ชอบเอาสองคนมาเทียบว่าใครดีกว่าใคร เธอเองเก่งพอแล้วหรือ สำหรับเราไม่มีเวลาว่างมาทำเช่นนั้น

  • แสร้งพูดไพเราะ แสดงความน่ารัก เพื่อให้ถูกใจคน คนประเภทนี้น้อยนักที่จะเป็นคนมีเมตตาธรรม

  • ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักคนด้วยความจริงใจ และจึงสามารถเกลียดคนด้วยความจริงใจ

  • ผู้มีปัญญาชื่นชมน้ำ เป็นผู้ขยัน ผู้มีความสุข ผู้มีเมตตา ชื่นชมภูเขา เป็นผู้รักสงบ เป็นผู้มีอายุยืน

  • ผู้ที่มีเมตตาธรรมเท่านั้น เวลาพูด เขาพูดอย่างเชื่องช้า ไม่พูดเชื่องช้าได้หรือ เพราะเมื่อพูดไปแล้ว ต้องทำตามที่พูดด้วยความลำบาก

  • ผู้ที่มีความเข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ พูดช้าก็ใกล้กับความมีเมตตาธรรมแล้ว

  • ผู้มีคุณธรรมต้องมีคำพูดที่ดี แต่ผู้มีคำพูดที่ดี ไม่ต้องใช่เป็นคนที่มีคุณธรรมเสมอไป

  • ผู้มีเมตตาธรรมต้องเป็นผู้ที่กล้าหาญ แต่ผู้กล้าหาญ ไม่ใช่ต้องเป็นคนที่มีเมตตาธรรมเสมอไป

  • เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นนะหรือ ถ้าเช่นนั้น หมากับม้าก็ได้รับการเลี้ยงดูให้มีชีวิตอยู่เช่นกัน

  • บัณฑิตให้ความเมตตากรุณาแก่ผู้อื่น ใช้คนทำงานแต่คนไม่โกรธแค้น ความต้องการของเขาไม่เป็นความโลภ มีความสงบแต่ไม่มีความเย่อหยิ่ง มีความสง่าแต่ไม่มีความโหดเหี้ยม

คมวาทะเจ้าสัว

  • อย่าลืมว่า
    ในการประกอบธุรกิจ เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเฮงด้วย
    และเก่งกับเฮงก็ใช้ไม่ได้แล้วในสมัยนี้
    ต้องมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย
    และเรื่องนี้ผมก็สอนลูกๆ ผมอยู่เสมอ
    --------------------------------------- อุเทน เตชะไพบูลย์
  • ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ
    คือในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล
    วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ
    เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง
    จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว
    ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว
    ----------------------------------------- ธนินท์ เจียรวนนท์
  • ผมพร้อมจะเป็นน้ำนิ่ง อาจมีเขื่อนมาขวางหน้า
    แต่ถ้าวันใด ที่เขื่อนนั้นเปราะบาง และโอกาสแห่งการสำแดงพลังมาถึง
    ผมก็พร้อมจะกลายเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
    โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งที่ขวางกั้น
    แม้กระทั่งเขื่อนที่ครั้งหนึ่งผมเคยสยบยอมก็ตาม
    ------------------------------------------- เจริญ สิริวัฒนภักดี
  • ผมจะก้าวหน้าไปสักก้าว ก็ต้องเจออะไรมากระทบ
    แต่เราก็พยายามที่จะก้าวใหม่ อีกย่างหนึ่ง
    แบงค์กรุงเทพฯเคยถูกกระทบตลอดเวลา และไม่เคยท้อถอย
    -------------------------------------------- ชาตรี โสภณพนิช
  • เจี้ย ยู่ เล้ง โจ้ว ซื่อ ยู่ โฮ้
    แปลเป็นไทยได้ความว่า
    กินข้าวต้องเร็วเหมือนมังกร
    ทำงานต้องทำให้เหมือนเสือ
    และก็ไม่แต่ผมคนเดียวเท่านั้น ลูกๆ ทุกคนก็ปฏิบัติอย่างนี้
    -------------------------------------------- บุญยสิทธิ์ โชควัฒนา
  • ถ้าคุณอดทน เพื่อจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ
    คุณจำเป็นอย่างมากที่จะต้องลงมือศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง
    แต่ถ้าคุณไม่อดทน โอกาสที่คุณจะผิดพลาดก็ย่อมมีสูงเช่นกัน
    ------------------------------------------ อนันต์ กาญจนพาสน์
  • จงเดินไปหาภูเขา อย่าให้ภูเขาเดินมาหาเรา
    เพราะผมคิดว่า ปกติผู้บริหารทั่วไป มักจะเรียกพนักงานมาประชุมกับเรา
    มันเหมือนเราย้ายพนักงานทั้งกองทัพมาหาเรา
    แต่สำหรับผมผมจะเดินไปหาเขา
    ผมบอกลูกน้องของผมว่า
    เราต้องเดินไปหาลูกค้า อย่าให้ลูกค้ามาหาเรา
    ------------------------------------------- พรเทพ พรประภา
  • ในเรื่องของการพิจารณา ความดีความชอบ
    ผมจะฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นหลักว่า
    ลูกน้องแต่ละคนทำงานลงไปแล้ว
    ลูกค้าพอใจแค่ไหนอย่างไร ผมจะไม่เชื่อหัวหน้าอย่างเดียว
    เพราะถ้าเกิดหัวหน้าบางคนไม่ชอบลูกน้อง
    อาจเกิดกรณีหัวหน้าแกล้งลูกน้องได้
    ------------------------------------------------ ประกิต อภิสารธนรักษ์
  • ผมมีหลักของอาจารย์ที่สอนผมอย่างหนึ่งว่า
    มนุษย์เกิดมาไม่มีใครเก่งที่สุด ดีที่สุด
    หรือแม้แต่เลวที่สุด
    เพราะคนที่ดีสุดและเลวที่สุด
    ได้ตายจากโลกนี้นานแล้ว
    คนที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียง ชีวิตที่มีขึ้นมีลงอย่างเดียว
    ----------------------------------------------- ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ
  • ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม
    คุณต้องศึกษาให้รู้แจ้งเสียก่อน ก่อนที่จะลงมือทำ
    และเมื่อลงมือทำแล้ว ก็ต้องทำให้จริงๆ จังๆ
    ให้มันรู้ไปเลยว่า เราทำไม่ไหวแล้ว
    ----------------------------------------------- ชวน ตั้งมติธรรม
  • มีหลักในการบริหารงาน ไม่กี่ประการ
    1. ต้องลับคมอยู่เสมอ
    2. ไม่กลัวงาน เมื่อคิดจะทำอะไรต้องทำทันที และ
    3. ต้องรักษาคำพูด
    -----------------------------------------------คุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย
  • เวลามีปัญหาในองค์กร ปัญหาชีวิตและสุขภาพ
    จะมีทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายหลายรูปแบบ
    แต่ที่สำคัญต้องมีสติ และมีความรักเป็นพื้นฐานสำคัญ
    จากนั้นจึงค่อยใช้ปัญญา เพราะปัญญาช่วยให้มองเห็นหนทาง
    ของการแก้ปัญหาอย่างชัดเจนที่สุด
    ----------------------------------------------- ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์
  • 1. จงเผชิญกับความจริงอย่างที่เป็นอยู่ มิใช่อย่างที่คุณอยากเป็น
    2. จริงใจกับทุกคน
    3. อย่าเป็นแค่นักบริหารแต่จงออกไปนำทัพ
    4. จงเปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะบังคับให้ต้องเปลี่ยน
    5. ถ้าท่านไม่มีจุดแข็ง หรือข้อได้เปรียบจงอย่าแข่งกับเขา
    6. จงคุมชะตาด้วยตนเองมิฉะนั้น ผู้อื่นจะมาคุมแทน
    ----------------------------------------------ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์
  • ในการทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง หรือนายจ้าง
    ควรจะรับฟังความคิดของผู้ร่วมงานเสมอ
    การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
    คือเป็นการเพิ่มประสบการณ์อื่นเป็นความรู้
    นอกเหนือจากที่ได้รับมาจากการเอาเปรียบผู้อื่น
    ไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง
    -------------------------------------------- โพธิ์พงษ์ ล่ำซำ
  • ที่ชอบเป็นพิเศษ คือคำพูดของซุนวู่
    ที่บอกว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
    ผมฟังปุ๊บ รู้สึกประทับใจทันที
    และเข้าใจว่า คนเราถ้าอยู่ใกล้ใคร มักอยากเป็นแบบนั้น
    ตอนนั้นจำได้ว่าผมอยากเป็นนักเขียนมาก แต่ที่ได้รับคำแนะนำ
    ว่าถ้าคุณอยากเขียนหนังสือจงเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรู้ก่อนเป็นอันดับแรก
    ------------------------------------------ อมรเทพ ดีโรจนวงศ์
    บทความจาก tamdee.net

คติธรรมคำสอนของหลวงปู่ทวด

คำสอนเด็ดๆ...ธรรมะจากหลวงปู่ทวด(วัดช้างให้)

หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม
" หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225
สิริรวมอายุได้ 99 ปี

สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ

หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป

ทารกอัศจรรย์

เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้นี้มีนายว่า "ปู"  เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา

เหยียบน้ำทะเลจืด

ขณะที่สมเด็จเจ้าฯ จำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะ ครั้งนี้คาดคะเนว่า ท่านมีอายุกาลถึง 80 ปีเศษ อยู่มาวันหนึ่งท่านถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวไม้เท้านี้มีลักษณะคดไปมาเป็น 3 คด ชาวบ้านเรียกว่า "ไม้เท้า 3 คด" ท่านออกจากวัดมุ่งหน้าเดินไปยังชายฝั่งทะเลจีน ขณะที่ท่านเดินพักผ่อนรับอากาศทะเลอยู่นั้น ได้มีเรือโจรสลัดจีนแล่นเลียบชายฝั่งมา พวกโจรจีนเห็นท่านเดินอยู่คิดเห็นว่าท่านเป็นคนประหลาดเพราะท่านครองสมณเพศ พวกโจรจึงแวะเรือเทียบฝั่งจับท่านลงเรือไป เมื่อเรือโจรจีนออกจากฝั่งไม่นาน เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น คือ เรือลำนั้นแล่นต่อไปไม่ได้ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกโจรจีนพยายามแก้ไขจนหมดความสามารถเรือก็ยังไม่เคลื่อน จึงได้จอดเรือนิ่งอยู่ ณ ที่นั้นเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ในที่สุดน้ำจืดที่นำมาบริโภคในเรือก็หมดสิ้น จึงขาดน้ำจืดดื่มและหุงต้มอาหารพากันเดือดร้อนกระวนกระวายด้วยกระหายน้ำเป็นอย่างมาก สมเด็จเจ้าฯ ท่านเห็นเหตุการณ์ความเดือดร้อนของพวกโจรถึงขั้นที่สุดแล้ว ท่านจึงเหยียบกราบเรือให้ตะแคงต่ำลงแล้วยื่นเท้าเหยียบลงบนผิวน้ำทะเลทั้งนี้ย่อมไม่พ้นความสังเกตของพวกโจรจีนไปได้

เมื่อท่านยกเท้าขึ้นจากพื้นน้ำทะเลแล้วก็สั่งให้พวกโจรตักน้ำตรงนั้นมาดื่มชิมดู พวกโจรจีนแม้จะไม่เชื่อก็จำเป็นต้องลองเพราะไม่มีทางใดจะช่วยตัวเองได้แล้ว แต่ได้ปรากฏว่าน้ำทะเลเค็มจัดที่ตรงนั้นแปรสภาพเป็นน้ำจืดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรจีนได้เห็นประจักษ์ในคุณอภินิหารของท่านเช่นนั้น ก็พากันหวาดเกรงภัยที่จะเกิดแก่พวกเขาต่อไป จึงได้พากันกราบไหว้ขอขมาโทษแล้วนำท่านล่องเรือส่งกลับขึ้นฝั่งต่อไป

เมื่อสมเด็จเจ้าฯ ขึ้นจากเรือเดินกลับวัด ถึงที่แห่งหนึ่งท่านหยุดพักเหนื่อย ได้เอา "ไม้เท้า 3 คด" พิงไว้กับต้นยางสองต้นอันยืนต้นคู่เคียงกัน ต่อมาต้นยางสองต้นนั้นสูงใหญ่ขึ้น ลำต้นและกิ่งก้านสาขาเปลี่ยนไปจากสภาพเดิกกลับคดๆ งอๆ แบบเดียวกับรูปไม้เท้าทั้งสองต้น ประชาชนในถิ่นนั้นเรียกว่าต้นยางไม้เท้า ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่ถึงทุกวันนี้

สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวดครองสมณเพศและจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ เป็นที่พึ่งของประชาราษฎร์มีความร่มเย็นเป็นสุข ได้ช่วยการเจ็บไข้ได้ทุกข์ บำรุงสุข เทศนาสั่งสอนธรรมของพระพุทธองค์ ประดุจร่มโพธิ์ร่มไทรของปวงพุทธศาสนิกชนตลอดมา


คติธรรมคำสอนของหลวงปู่ทวด

ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก    พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์


ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ


สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได ้
แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก


ชีวิตทุกข์
การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
เมื่อเราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย


บรรเทาทุกข์
การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเอง
และเราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่า สิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ


ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา   ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย   แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย


ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น


ยึดจึงเดือดร้อน
ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่
ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน   เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ   ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด   อยู่กันอย่างไม่ยินดี   อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ   เหนือนินทา   เหนือความผิดหวัง   เหนือความสำเร็จ   เหนือรัก   เหนือชัง


ธรรมารมณ์
การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน   เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส   เสียใจน้อยใจ   เป็นทุกข์


กรรม
ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์   มีความรื่นเริง


มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน   ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ


โลกิยะ หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ   ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ   ย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก   เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ?
ถ้าเป็นไปได้   พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน
เราต้องตัดสินใจ   ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง


ศิษย์แท้
พิจารณากายในกาย   พิจารณาธรรมในธรรม   พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ   เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล   ผลนั้นเกิดจากเหตุ
เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว   เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา


ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย


หยุดพิจารณา
คนเรานี้   ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว   จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น   ตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ หยุดพิจารณา
แล้วค้นสัจจะของ   ศีล   สมาธิ   ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้


บริจาค
ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ   จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา   การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม


ทำด้วยใจสงบ
เราจะทำบุญก็ดี   เราจะทำอะไรก็ดี   จงทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น   มันจะพาเราไปสู่หายนะ
เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน   เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง   จงอย่าทำ
นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน   เมื่อจิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญาแล้ว   จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก


มีสติพร้อม
จะทำสิ่งใดก็ตาม   เราต้องมีสติพร้อม
คือ อย่าให้มีโทสะ   อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล มาอยู่เหนือความจริง


เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก    มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า


พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี   วันหนึ่งก็ดี   ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่า   ที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง   คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้   มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด   ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง

คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
ธรรมะของหลวงปู่ทวด   อ่านแล้วส่งต่อ เพื่อเป็นธรรมทาน

เจนวาย คืออะไร

เรื่อง "เจนวาย" คำนี้มาจากวิชาประชากรศาสตร์ (Population) ซึ่งเป็นแขนงของวิชาสังคมวิทยา (Sociology) ที่อยู่ในสาขาของวิชาสังคมศาสตร์ ซึ่งตัวนิสิตผู้มาถามเรื่องเจนวายนี้เป็นนิสิตรัฐศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาในสาขาสังคมศาสตร์เช่นกันดังนั้นก็ควรจะรู้ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องเจนวายนี้เริ่มมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาแต่มีลักษณะเป็นสากลทั่วโลกเพราะเจนวายนี้ถือเป็นกลุ่มคนที่โตมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่มีอินเตอร์เน็ตแพร่หลายแล้วคือบรรดาคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ.2523-2543
เรื่องอินเตอร์เน็ตนี่สำคัญมากนะเพราะคนรุ่นผู้เขียน (55-75 ปี) ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตกันไม่ค่อยเป็นหรอก
ดังนั้นตรงนี้สำคัญ ต้องจำเอาไว้ให้ดีเป็นหลักเลย พวกเจนวายนี้ได้เข้าสู่ตลาดแรงงานมาได้สักพักหนึ่งแล้วทางวิชาประชากรศาสตร์เขาใช้เกณฑ์ช่วงอายุ (Generation) เป็นตัวกำหนดการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ เพราะคนต่างช่วงอายุกันนี่ความต้องการในชีวิตนี่ต่างกันมากนะ ดังนั้นบรรดาผู้ที่ทำงานในฝ่ายบุคคลก็จำเป็นต้องรู้ลักษณะทั่วไปของกลุ่มคนที่ทำงานในองค์กรของตน
และเหล่านักการตลาดทั้งหลายที่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายจึงต้องเอาความรู้ตรงนี้ไปใช้มากทีเดียว อาทิ การผลิตเสื้อผ้าออกมาขายจะผลิต ขนาดรูปร่างไหน สีอะไร สไตล์ยังไง นี่สำหรับคนหนุ่มสาวกับคนแก่นั้นมันคนละเรื่องกันเลย
จะให้รู้เรื่องเจนวายจริงๆ ต้องศึกษาย้อนกลับไปถึงช่วงอายุ (Generation) อื่นๆ ด้วย


1.เจนบี (Baby Boom Generation-Generation B) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507 อายุ 45-63 ปี บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน
คนที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด (การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ก็มีผลโดยตรงจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำปี พ.ศ.2472 เหมือนกัน)
คนเจนบีเติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน
คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากมีความจงรักภักดีกับองค์กรสูง


2.เจนเอ็กซ์ (Generation X) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2522 อายุ 30-44 ปี คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วง พ.ศ.2508-2522 นี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม)
บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)
พูดง่ายๆ คือไม่บ้างาน พยายามที่จะมีเวลากับครอบครัว มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง ไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เรียกกลุ่มนี้อีกอย่างว่าพวกยัปปี้-Yuppie (Young Urban Professionals)
ว่ากันว่าบรรดาคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้นส่วนใหญ่เป็นคนเจนเอ็กซ์


3.เจนวาย (Generation Y) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523-2543 อายุ 9-29 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที
พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร
พวกเจนวายนี้เริ่มจากการบ่นกันเองอย่างรำคาญที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันแล้วมาลงที่เด็ก Why me?
พวกเจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข
คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแบบว่าชอบส่งอี-เมลมากกว่าพูดกันต่อหน้า
ทำนองว่าไม่ชอบทะเลาะว่ายังงั้นเถอะ ทำให้พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก
เกณฑ์การจัดแบ่งกลุ่มคนเป็นกลุ่มช่วงอายุนี้เราใช้เกณฑ์ของอเมริกันนะ
หากจะเอามาใช้ในเมืองไทยคงต้องปรับกันบ้างพอสมควรเนื่องจากเมืองไทยบ้านเรานั้นการวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีนั้นช้ากว่าสหรัฐอเมริกามากหากจะยึดหลักอเมริกันมาใช้ในเมืองไทยเลยอาจมีปัญหา
แต่ทุกวันนี้เห็นทางธุรกิจในบ้านเรา เขาเอามาใช้กันเกร่อไปเลย

มีใครเคยรู้ฉายาดินแดนของประเทศต่างๆ ทั่วโลกบ้าง?

ลำดับที่ ชื่อของสมญานาม เป็นสมญานามของ
1. ทวีปแห่งความแตกต่าง ทวีปเอเชีย
2 .เกาะทวีป ทวีปออสเตรเลีย
3. อังกฤษแห่งบูรพา ประเทศญี่ปุ่น
4. ทางแยกแห่งตะวันออกไกล ประเทศสิงคโปร์
5. เกาะเครื่องเทศ เกาะโมลุกกะของอินโดนีเซีย
6. แมนเชสเตอร์ของญี่ปุ่น เมืองโอซาก้า
7. แม่น้ำวิปโยค แม่น้ำฮวงโห(แม่น้ำเหลือง)
8.ไข่มุกแห่งภาคตะวันออก ประเทศศรีลังกา
9. สวิสแห่งเอเชีย เทือกเขาหิมาลัย
10. ดินแดนแห่งแกงกะหรี่ ประเทศเปอร์เชียร์
11. ดินแดนแห่งเมืองยิ้ม ประเทศไทย
12. ดินแดนแห่งพระอาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่น
13. ดินแดนน้ำนมและน้ำผึ้ง ประเทศอิสราเอล
14. เวนิสแห่งภาคตะวันออก กรุงเทพมหานคร
15. ขั้วแห่งความเย็น เมืองเวอร์โคยันสก์ในไซบีเรีย
16. นครรัฐระหว่าง2ทวีป เมืองอิสตันบูลในตุรกี
17. บริเตนแห่งภาคตะวันออก ประเทศญี่ปุ่น
18. แมนเชสเตอร์ของอินเดีย เมืองบอมเบย์ในอินเดีย
19. ดินแดนแห่งทะเลทั้ง5 เอเชียตะวันตกเฉียงใต้
20. หลังม่านไม้ไผ่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
21. ดินแดนที่สะอาดที่สุด ประเทศสิงคโปร์
22. เมืองเปียก เมืองเชอราปุนจิของอินเดีย
23. เมืองขั้วหนาว เมืองเวอร์โคยันส์กของรัสเซีย
24. ช่องแคบที่ยาวที่สุด ช่องแคบมะละกา
25. ทะเลแห่งความเค็ม ทะเลสาบเดดซีระหว่างจอร์แดนและอิสราเอล
26. ทะเลตาย ทะเลสาบเดดชี
27. ดินแดนแห่งเกาะโลก ประเทศฟิลิปปินส์
28. หลังคาโลก ธิเบต
29. แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ แม่น้ำคงคาในอินเดีย
30. ดินแดนแห่งพระเจดีย์ ประเทศสหภาพพม่า(เมียนมาร์)
31. ดินแดนแห่งการกำเนิดศาสนา ประเทศอินเดีย
32. ทะเลขาว ทะเลภายในประเทศรุสเซีย
33. ทะเลกลางธรณี ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
34. ทวีปแห่งน้ำแข็ง ทวีปแอนตาร์กติก
35. สนามกีฬาแห่งกรุงโรม สนามกีฬาโลโลซิมอัลอิตาลี
36. พิพิธภัณฑ์แห่งสงคราม พิพิธภัณฑ์ในกรุงปรารีส ฝรั่งเศส
37. ประตูชัยแห่งกรุงปรารีส ประตูในประเทศฝรั่งเศส
38. ชนชาติแห่งมักกะโรนี ชาวอิตาลี
39. ป้อมเทวดาแห่งกรุงโรม พิพิธภัณฑ์ในประเทศอิตาลี
40. ถนนหลวงของยุโรป แม่น้ำไลน์
41. กำแพงเย็น กำแพงนอกฝั่งนิวฟันด์แลนด์
42. ถ้วยน้ำตาลของโลก ประเทศคิวบา
43.หม้อกาแฟของโลก ประเทศบราซิล
44. กระดูกสันหลังของยุโรป เทือกเขาแอลป์
45. ประตูสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลต้า
46. เบอร์มิงแอมแห่งแคนาดา เมืองแฮมิลตัน
47. ยักษ์หนุ่มแห่งภาคใต้ ประเทศอาร์เจนตินา
48. บิดาแห่งชนชาติอเมริกัน ยอร์ช วอชิงตัน
49. ประธานาธิบดีแห่งทาสนิโกร อับราฮัม ลินคอล์น
50. เจ้าแห่งทะเลน้ำจืด ทะเลสาบสุพีเรีย
51. ชาวจีกี้ ชาวนิวซีแลนด์
52. สวิสแห่งใต้ ประเทศนิวซีแลนด์
53. ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ประเทศอิสราเอลหรือปาเลสไตน์
54. ดินแดนแห่งโรงนม ประเทศแดนมาร์ก
55. ดินแดนแห่งฟยอร์ด ประเทศนอร์เวย์
56. ดินแดนแห่งดอกทิวลิป ประเทศเนเธอร์แลนด์
57. ดินแดนแห่งที่ราบสูง ทวีปแอฟริกา
58. ระฆังแห่งอิสรภาพ ระฆังในประเทศสหรัฐอเมริกา
59. เมืองแห่งการพนัน เมืองมอนติคาร์โล ประเทศมอนาโค
60. เมืองแห่งคลอง เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
61. เมืองแห่งหมอกควัน เมืองพิตเบอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
62. แม่น้ำนานาชาติของทวีปยุโรป แม่น้ำไรน์
63. ทวีปมืด ทวีปแอฟริกา
64. อมตนคร กรุงโรม ประเทศอิตาลี
65. ดินแดนแห่งโรงสีลม ประเทศเนเธอร์แลนด์
66. ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน ประเทศนอร์เวย์
67. ดินแดนแห่งหมี่นทะเลสาป ประเทศฟินแลนด์
68. เจ้าแห่งแม่น้ำ แม่น้ำอะเมซอน
69. คะแนลโซน ดินแดนแห่งสองฝั่งคลองปานามาของสหรัฐอเมริกา
70. กำแพงแห่งความอัปยศ กำแพงเบอร์ลินซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับตะวันออกในเยอรมนี
71. เมืองในหมอก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
72. สวนแห่งยุโรป ประเทศเนเธอร์แลนด์
73. ชิคาโกของรัสเซีย เมืองยูเครน
74. ทะเลแห่ง3ทวีป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
75. ปารีสน้อย กรุงบรัสเซล
76. นครแห่งผู้ชาย กรุงลอนดอน แห่งอังกฤษ
77. นครแห่งผู้หญิง กรุงปารีสแห่งฝรั่งเศส
78. ลุงแซม สหรัฐอเมริกา
79. กระดูกสันหลังแห่งอังกฤษ เทือกเขาเพนไนน์
80. ดินแดนแห่งเบียร์ ประเทศเยอรมนี( เบียร์ถูกกว่าน้ำเปล่าเสียอีก)
81. ดินแดนกลางของโลก(การเมืองไม่ขึ้นกับใคร) สวิสเซอร์แลนด์
82. ดินแดนอาหรับกลาง อิยิปต์

สามก๊ก ตอนที่ 17 - ประหารลิโป้

ฝ่ายลิโป้จับเอาม้าใช้ฝ่ายโจโฉที่ส่งหนังสือไปยังเล่าปี่ให้คิดอ่านกำจัดลิ โป้ได้ จึงคิดแค้นใจแบ่งกองกำลังไปตีเมืองกุนจิ๋ว และเล่าปี่ที่เมืองเสียวพ่าย เล่าปี่รู้ดังนั้นจึงจัดแจงส่งหนังสือไปยังโจโฉให้ยกทัพมาช่วยโจโฉแจ้งดัง นั้นจึงคุมทหารมีฝีมือเป็นอันมาก ออกรบด้วยลิโป้โดยส่งแฮหัวตุ้นเป็นทัพหน้า
แฮหัวตุ้นได้ออกรบกับโกซุ่นทหารลิโป้ครั้นได้ทีไล่กวดไป โจเสงซุ่มเอาเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปที่จักษุซ้ายแฮหัวตุ้นแฮหัวตุ้นร้องขึ้นด้วย เสียงอันดังแล้วดึงเกาทัณฑ์ออก ร้องว่าลูกตาเป็นสิ่งประเสิรฐที่พ่อแม่ให้มาจะให้ตกพื้นเสียมิได้แล้วจึงจับ ลูกตากลืนเข้าไปในปาก แล้วเอาทวนแทงโจเสงตกม้าตาย
ครั้นเล่าปี่ออกมาตั้งทัพซุ่มนอกเมือง ลิโป้เห็นดังนั้นจึงตีแตกพ่ายกระจัดกระจายไป ตัวเล่าปี่หนีออกไปหาทัพโจโฉฝ่ายตันกุ๋ย ตันเต๋ง ซึ่งเป็นไส้ศึกของโจโฉที่อยู้ ณ เมืองชีจิ๋ว คิดอุบายให้ลิโป้กับตันก๋งออกรบฆ่ากันเองแล้วยึดเมืองชีจิ๋วเสีย ลิโป้จึงแตกหนีไปยังเมืองเสียวพ่าย แต่ตันเต๋งคิดอุบายหลอกโกซุ่น เตียวเลี้ยวที่ประจำอยู่ ณ เมืองเสียวพ่ายให้ยกออกไปช่วยลิโป้ แล้วยึดเมืองเสียอีก ลิโป้รู้ดังนั้นจึงจำไปอยู่ ณ เมืองแห้ฝือ

โจโฉยกทัพล้อมเมือองแห้ฝือไว้ ให้เล่าปี่ไปสกัดอ้วนสุดกันมาช่วยลิโป้ ฝ่ายลิโป้มิคิดออกรบเชื่อฟังแต่ภรรยาไม่สนแผนอุบายของตันก๋ง เสพย์สุราทุกวันครั้นจะคิดให้อ้วนสุดมาช่วยรบก็มิได้ ด้วยอ้วนสุดให้ส่งบุตรสาวของตนที่เคยคิดส่งไปให้ก่อน แลโจโฉ เล่าปี่ได้ล้อมกองกำลังแน่นหนามิอาจฝ่าไปได้ ลิโป้จึงเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด วันหนึ่งภรรยาลิโป้เอากระจกมาส่องให้ดู ลิโป้เห็นตัวเองเสื่อมโทรมหมดราศีเพราะสุรา จึงสั่งห้ามให้ทหารทั้งปวง ห้ามกินสุราถ้าพบเห็นผู้ใดจะตัดศีรษะเสีย
วันหนึ่งลิโป้พบเฮาเสงคิดเลี้ยงสุรา จึงสั่งโบยหวายห้าสิบที เฮาเสงคิดแค้นใจเป็นอันมากจึงร่วมมือกับซุยเหียน ลักม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้ไปกำนัลด้วยโจโฉ แล้วทั้งสองได้แอบไปจับมัดลิโป้ขณะนั่งหลับที่ประตูเมือง โจโฉเห็นดังนั้นได้ทีบุกเข้ายึดแห้ฝือได้ จับได้ทหารทั้งปวงหลังจากปิดล้อมอยู่หลายเดือน
โจโฉสั่งประหารโกซุ่น ลิโป้ เสีย แลตันก๋งคิดยอมตายเองมิยอมเป็นบ่าวสองนาย โจโฉเสียใจร้องไห้รักเป็นอันมากมิอาจรั้งไว้ได้จึงสั่งเลี้ยงดูบุตรภรรยา เป็นอย่างดี ส่วนเตียวเลี้ยวโจโฉเลี้ยงดูไว้เป็นทหารเอก

สามก๊ก ตอนที่ 16 - อ้วนสุดหนีโจโฉ

โจโฉจึงให้ลิโป้เป็นปีกซ้าย เล่าปี่เป็นปีกขวามุ่งสู่ลำหยง ครั้นถึงเมืองโจโฉจัดแจงให้ เล่าปี่ ลิโป้ ซุนเซ็ก โอบล้อมเมืองทั้งสี่ด้านให้สัญญาณบุกโจมตีพร้อมกัน อ้วนสุดเห็นต้านทานมิได้จึงพาครอบครัวแอบหลบหนีไปตำบลห้วยหนำ โจโฉมิรู้ว่าอ้วนสุดหนีจากเมืองจึงล้อมเมืองอยู่เดือนครึ่ง ทหารทั้งปวงอดอยากเสบียงอาหารยิ่งนัก โจโฉจึงยืมหัวของอองเฮานายฉาง ตัดหัวแล้วบอกว่าอองเฮากระทำผิดฉ้อข้าว ทหารทั้งปวงเห็นดังนี้จึงมีน้ำใจออกรบ แล้วสั่งให้ทหารทั้งปวงเบิกข้าวที่เหลือจนหมด สั่งให้โจมตีเมืองให้ได้
ครั้นโจโฉหักเอาเมืองได้รู้ว่าอ้วนสุดหนีไปเมืองห้วยหนำจึงคิดตีตาม รู้ข่าวว่าเตียวสิ้วกลับมาคิดตีจะเอาเมืองฮูโต๋จึงยกทัพกลับฮูโต๋ตระเตรียม การรบด้วยเตียวสิ้ว ต่อมารู้ข่าวว่าตวนอุย งอสิบ ฆ่าลิฉุย กุยกีได้แล้วเอาศีรษะมาให้ก็ยินดียิ่งแล้วยกทัพออกตีเตียวสิ้ว

ขณะนั้นเป็นฤดูข้าวโภชน์สาลีสุก โจโฉสั่งทหารทั้งปวงห้ามเหยียบข้าวโภชน์สาลีแม้แต่ต้นหนึ่งจะฆ่าเสียมิเว้น แม้แต่นายกองใหญ่ ชาวบ้านทั้งปวงจึงสรรเสริญยิ่ง อยู่มาโจโฉขี่ม้าผ่านไร่สาลี นกบินตัดหน้า ม้าทีโจโฉขี่จึงตื่นวิ่งเตลิดเหยียบข้าวสาลีหักเป็นอันมาก เห็นว่าคำสั่งจะมิเป็นที่นับถือต่อไป จึงคิดอุบายแสร้งชักกระบี่จะเชือดคอตัวเอง นายทัพทั้งปวงจึงห้ามไว้ ว่าแล้วโจโฉจึงตัดเพียงผมเองว่าแก่ทหารทั้งปวง ทหารทั้งปวงจึงสรรเสริญโจโฉมากกว่าแต่ก่อนว่าอยู่ในสัตย์ธรรม
ครั้นโจโฉคิดตีเมือง กาเซี่ยงที่ปรึกษาเตียวสิ้วคิดอุบายหลอกโจโฉ โจโฉจึงแตกทัพหนีมา รู้ว่าอ้วนเสี้ยวจะยกทัพตีฮูโต๋จึงยกทัพกลับเมือง รู้ว่าอ้วนเสี้ยวทำการกำเริบจึงคิดยกไปตีแลขอความเห็นที่ปรึกษาทั้งปวง กุยแกจึงว่าการตีอ้วนเสี้ยวนั้นไม่ยากแล้วชี้ข้อเด่นของโจโฉสิบประการ ข้อด้อยของอ้วนเสี้ยวสิบประการ แต่ยังมิอาจตีได้ด้วยมีลิโป้คิดลอบตีฮูโต๋อยู่ โจโฉเห็นด้วย
โจโฉจึงแต่งตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองกิจื๋ว อ้วนเสี้ยวรู้ดังนั้นจึงมีความยินดีคิดออกรบด้วยกองซุนจ้าน ให้เล่าปี่ที่โจโฉให้กลับไปอยู่เมืองเสียวพ่ายรอการตลบหลังลิโป้ ให้คิดการจับลิโป้เสีย แล้วตระเตรียมกะเกณท์ทหารเตรียมออกรบ

สามก๊ก ตอนที่ 15 - โจโฉเสียเตียนอุย

ครั้นอยู่มาเตียวสิ้วกับเล่าเปียวสมคบคิดกันจะมาตีเมืองฮูโต๋ โจโฉจึงสั่งพลออกรบด้วยแล้วส่งสัมพันธไมตรีไปยังลิโป้ ฝ่ายเตียวสิ้วเห็นว่าสู้ไม่ได้จึงยอมเข้าเกลี้ยกล่อมแต่โดยดี มาวันหนึ่งโจโฉเห็นหญิงรูปงามรู้ว่าเป็นอาสะใภ้เตียวสิ้วจึงเลี้ยงไว้เป็น ภรรยา เตียวสิ้วคิดน้อยใจอัปยศนักจึงวางแผนหลอกมาตั้งค่ายในค่ายโจโฉให้ชะล่าใจ แล้วจึงจุดเพลิงรอบด้านพาทหารหวังจับโจโฉเสีย โจโฉหลบหนีมาทางข้างหลังได้ แต่เตียนอุยทหารเอกคู่ใจเข้ารบด้วยทหารเตียวสิ้วป้องกันสุดความสามารถ จนอาวุธที่ถือในมือหักจึงฉวยศพเข้าสองมือสู้เป็นสามารถ ทหารเตียวสิ้วระดมเกาทัณฑ์แลทวนเข้าทั่วร่างเตียนอุยต้องอาวุธบาดเจ็บทั่ว กาย ยืนพิงประตูค่ายจนสิ้นใจ
ฝ่ายโจโฉหลบหนีออกมาทางแม่น้ำหยกซุย สูญเสียโจงั่งบุตรเอกกับโจอั๋นบิ๋นผู้หลาน ครั้นรวบรวมทหารได้แล้ว จึงแต่งโต๊ะสุราเซ่นเตียนอุย ว่าแก่ทหารทั้งปวงว่าแม้เราเสียบุตรเอกแลหลานยังมิเสียดายเท่าเสียเตียนอุย เลยนึกเสียดายยิ่งนัก ว่าแล้วก็ร้องไห้รักเตียนอุย ทำให้ทหารทั้งปวงต่างร้องไห้ซึ้งใจยิ่งนัก แล้วจัดแจงยกทหารกลับฮูโต๋อยู่มาลิโป้ได้รับหนังสือแต่งตั้งโจโฉจึงยินดียิ่งนัก คิดลำเลิกส่งลูกสาวแลตัดสัมพันธไมตรีกับอ้วนสุด อ้วนสุดโกรธจะยกไปรบลิโป้ ลิโป้จึงส่งจดหมายไปยังโจโฉฉบับหนึ่ง เล่าปี่ฉบับหนึ่งให้ยกมาช่วย แล้วออกรบด้วยอ้วนสุด อ้วนสุดเสียทีหนีไปพบเล่าปี่เข้าสู้ด้วยกวนอู ล่าถอยไปเมืองลำหยง คิดยืมกำลังซุนเซ็ก ซุนเซ็กโต้กลับด่าว่าไอ้โจรขบถ ต่อมาโจโฉส่งสาสน์แต่งตั้งไปแก่ซุนเซ็กให้เป็นเจ้าเมืองห้อยเขแล้วให้ยกไปตี อ้วนสุดด้วย โจโฉ เล่าปี่ ลิโป้ และซุนเซ็กจึงออกรบด้วยอ้วนสุด ณ เมืองลำหยงจากทุกทิศ

สามก๊ก ตอนที่ 14 - ลิโป้ยิงเกาทัณฑ์ห้ามทัพ

ฝ่ายอ้วนสุดตั้งแต่ได้ตราหยกมีใจกำเริบคิดตั้งตนเป็นฮ่องเต้ไม่คืนแก่ซุน เซ็ก คิดออกตีเล่าปี่ โดยเอาของไปติดสินบนลิโป้มิให้ช่วยเหลือเล่าปี่ แต่ลิโป้กริ่งเกรงว่าหากมิให้ความช่วยเหลือเล่าปี่ แล้วอีกหน่อยจะมีภัยถึงตัวเป็นแน่ จึงออกห้ามทัพโดยท้าพนันแสดงฝีมือยิงเกาทัณฑ์ติดปลายทวน ที่ไกลห้าเส้นถ้ายิงติดปลายทวนให้กิเหลงซึ่งอ้วนสุดใช้ยกมาตีเล่าปี่ถอยทัพ กลับไป ลิโป้ยิงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ กิเหลงจึงมิอาจทำอะไรได้เลยถอยทัพกลับไปอ้วนสุดจึงใช้กลยุทธ์ปรองดองขอลูกสาวลิโป้ให้บุตรชายตน ครั้นจะส่งลูกสาวลิโป้คิดกลับคำหน่วงเวลาไว้ลิโป้กับเล่าปี่จึงยังมิได้กิน แหนงกันเท่าไหร่นัก ต่อมาเตียวหุยใช้คนไปขโมยฝูงม้าลิโป้ ลิโป้รู้เข้าจึงโกรธยกทัพมาตีเสียวพ่ายแตก เล่าปี่กับครอบครัวจึงรบหนีฝ่ามาพึ่งโจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉจึงกราบทูลให้เล่าปี่ไปตั้ง ณ เมืองอิจิ๋วรอการแก้แค้น

สามก๊ก ตอนที่ 13 - ซุนเซ็กเป็นใหญ่ฝั่งกังตั๋ง

ฝ่ายซุนเซ็กภายหลังบิดาตาย มีเหตุมิให้อยู่เมืองกังหนำจึงไปอยู่รับใช้ด้วยอ้วนสุด ต่อมาคิดเอาตราหยกกษัตริย์ที่ซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาเก็บได้ครั้งรบกับตั๋ง โต๊ะไปจำนำแก่อ้วนสุด ยืมกำลังทหารคิดแก้แค้นเล่าอิ้วแทนบิดา ครั้นได้แล้วซุนเซ็กออกเดินทางมาพบสหายรักเก่าจิวยี่ จึงรับมาร่วมเดินทางด้วย ออกรบเล่าอิ้วได้ไทสูจู้เป็นพวก ภายหลังรบชนะคิดออกตีเงียมแปะฮอเจ้าเมืองต๋องง่อ อ่องหลองเจ้าเมืองห้อยเข ครั้นออกรบแตกพ่ายไปก็ได้เป็นใหญ่ในเมืองฝั่งกังตั๋งและได้ทหารแลสะสมเสบียง อาวุธไว้เป็นอันมาก ส่งสาสน์คำนับไปยังพระเจ้าเหี้ยนเต้และส่งคนไปทวงตราหยกคืนจากอ้วนสุด ครั้งนั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญ จิวท่ายทหารเอกออกรบช่วยซุนกวนผู้น้องซุนเซ็กหลบหนีจากโจรป่าไว้ได้ แต่แผลเต็มตัวเห็นว่าจะไม่รอด ซุนเซ็ก ซุนกวนนึกสงสารจึงหาทางเชิญหมอฮัวโต๋ซึ่งเป็นหมอเทวดาในสมัยนั้นมารักษาให้ หายขาด หมอฮัวโต๋ต่อมาจึงมีชื่อเสียงยิ่งนัก

สามก๊ก ตอนที่ 12 - โจโฉเป็นมหาอุปราช

ลิฉุย กุยกีกลับมาร่วมมือกันออกทัพตามพระเจ้าเหี้ยนเต้หวังฆ่าเสียให้ตาย ครั้นกระชั้นชิดพระเจ้าเหี้ยนเต้รับสั่งเรียกโจโฉมาช่วย โจโฉยกทัพสามสิบหมื่นเข้ามาสกัดทัพลิฉุย กุยกีทันเวลา ฝ่ายโจโฉเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีความเห็นว่าเมืองลกเอี๋ยงมิอาจทำนุบำรุงได้เหมือนเดิมแล้ว จึงเชิญเสด็จไปตั้งเมืองฮูโต๋เป็นราชธานีใหม่ ตั้งตนเป็นมหาอุปราช

โจโฉภายหลังตั้งตนเป็นมหาอุปราชแล้วมีความเห็นว่า ลิโป้กับเล่าปี่ มีความกล้าแข็ง เกรงเป็นอันตรายต่อไปภายหน้าคิดกำจัดเสีย ซุนฮกที่ปรึกษาจึงคิดแผนการให้เสือสองตัวกัดกันเอง ส่งราชสาสน์ให้เล่าปี่ไปรบอ้วนสุด ฝ่ายเล่าปี่ให้เตียวหุยอยู่รักษาเมือง แต่ด้วยเตียวหุยเป็นคนหยาบช้าทั้งติดสุรา ทำให้ลิโป้แว้งกัดชิงตีเอาเมืองชีจิ๋วไว้ได้ กลับให้เล่าปี่ไปอยู่เมืองเสียวพ่ายแทน เล่าปี่แสร้งมีน้ำใจไม่วู่วามจึงรับไว้

สามก๊ก ตอนที่ 11 - พระเจ้าเหี้ยนเต้หนีตาย

ฝ่ายลิฉุย กุยกี ทำการหยาบช้ามิได้ขาด เอียวปิวขุนนางรับใช้พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงใช้แผนยุยงให้ลิฉุย กุยกีหมางใจกันหวังให้รบพุ่งฆ่ากันตาย ต่างคนต่างแย่งชิงพระเจ้าเห้ยนเต้ในอาณัติ ทำศึกบาดหมางกันตลอด ฝ่ายตังสินกับเอียวฮองจึงพาพระเจ้าเหี้ยนเต้หนีออกมาได้คิดพาไปพำนัก ณ เมืองลกเอี๋ยงเมืองหลวงเดิม แต่ถูกไล่กระชั้นชิด ตังสินกับเอียวฮองจึงเชิญเสด็จหนีทั้งกลางวันกลางคืน พอถึง ณ เมืองลกเอี๋ยงทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชตำหนักแลตึกรามบ้านช่องที่มีมาแต่ โบราณเป็นที่เพลิงไหม้สิ้น จึงทรงพระกรรแสง ขุนนางที่เหลือทั้งปวงจึงเชิญเสด็จ ณ ที่อยู่

สามก๊ก ตอนที่ 10 - ลิโป้เข้าพึ่งใบบุญเล่าปี่

ฝ่ายโตเกี๋ยมป่วยหนักใกล้ตาย ได้เรียกเล่าปี่เข้ามาเพื่อขอให้เป็นเจ้าเมืองต่อแล้วขาดใจตาย เล่าปี่นึกเอ็นดูแก่ชาวเมืองจึงรับไว้
ฝ่ายโจโฉหลังจากอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย เข้าปราบปรามโจรได้เคาทูมาเป็นพวก เห็นกองกำลังลิโป้ที่เมืองกุนจิ๋วอ่อนล้าจึงรบเอาได้โดยง่าย แล้วหักเอาเมืองปักเปี้ยง ลิโป้เข้ารบพุ่งต้านทานสู้ไม่ได้ล่าถอยหนี โจโฉออกตามตีกระหน่ำ ลิโป้เสียทีระหกระเหินไปพึ่งใบบุญเล่าปี่ ณ เมืองชีจิ๋ว แต่ขัดเคืองใจกับเตียวหุย เล่าปี่จึงจัดแจงให้ลิโป้กับครอบครัวอยู่ ณ เมืองเสียวพ่าย อันเป็นเมืองน้อยของชีจิ๋ว

สามก๊ก ตอนที่ 09 - โจโฉกรีฑาทัพเหยียบชีจิ๋ว

ฝ่ายโจโฉตั้งเกลี้ยกล่อมทหารแลที่ปรึกษาได้เป็นอันมาก มีความยินดีนักคิดเชิญโจโก๋ ณ เมืองตันลิวมาอยู่ด้วย โจโก๋จึงเก็บทรัพย์สินเดินทางมาพร้อมครอบครัว ผ่านเมืองชีจิ๋วซึ่งมีโตเกี๋ยมเป็นเจ้าเมืองอยู่ ทางโตเกี๋ยมเห็นดังนั้นจึงใช้เตียวคีไปส่งให้ถึงเมือง แต่เตียวคีคิดทรยศฆ่าโจโก๋แลครอบครัวเสียสิ้น ชิงทรัพย์สมบัติหนีไป โจโฉรู้ข่าวคิดแค้นใจเป็นอันมาก สั่งพลบุกหวังเหยียบชีจิ๋วให้พินาศเป็นหน้ากลอง ฝ่ายโตเกี๋ยมคิดส่งตัวเองออกไปแทนชาวเมืองซึ่งเดือดร้อนแต่ถูกคัดค้าน ทางขงหยง เล่าปี่ คิดช่วยเหลือ โตเกี๋ยมจึงเปิดประตูให้แลหวังคิดยกเมืองให้เล่าปี่ทำนุบำรุงต่อไป ฝ่ายเล่าปี่ยังมิยินยอม โตเกี๋ยมจึงให้ไปพำนัก ณ เมืองเสียวพ่ายซึ่งเป็นเมืองขึ้นก่อน

ฝ่ายลิโป้ซึ่งหลบหนีออกมาจากเมืองหลวงได้สมคบคิดกับตันก๋งที่หนีจากโจโฉมา อยู่ด้วยลิโป้ คิดลอบตีเมืองกุนจิ๋วที่โจโฉยกทัพบุกออกมา ฝ่ายโจโฉเห็นท่าไม่ดีจึงยกทัพกลับตีเอาเมืองคืน ลิโป้ใช้กลอุบายล่อโจโฉเข้ามาในเมืองปักเอี้ยงโจโฉเกือบเสียที โจโฉจึงจำยกทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองเอียนเสีย

สามก๊ก ตอนที่ 08 - ลิฉุย กุยกี เข้าราชสำนัก

ฝ่าย ลิฉุย กุยกี ลูกน้องตั๋งโต๊ะได้หลบหนีออกมาได้ หาทางเอาตัวรอดแต่อองอุ้นมิยอมยกโทษให้ ลิฉุย กุยกี เห็นจนตรอก รวบรวมพรรคพวกโจมตีเมืองหลวง ลิโป้ออกรบต้านทานติดทัพกระหนาบสองด้านทั้งเสียรี้พล ฝ่ายพรรคพวกตั๋งโต๊ะเป็นไส้ศึกในวัง ได้เปิดประตูเมืองออก ทหารลิฉุย กุยกีกรูเข้าเมือง ลิฉุยกุยกีฆ่าอองอุ้นถึงแก่ความตาย เข้าตัดสินราชการแทนตั๋งโต๊ะทำการชั่วช้าไม่แพ้กัน ฝ่ายม้าเท้งและม้าเฉียวผู้บุตรเข้าโจมตีเมืองหลวง แต่ขาดเสบียงจึงยกทัพกลับไป ต่อมาเกิดขบถโจรโพกผ้าเหลืองออกข่มเหง ราษฎรพระเจ้าเหี้ยนเต้รับสั่งโจโฉไปปราบ และตั้งโจโฉให้ใหญ่กว่าหัวเมืองตะวันออกทั้งปวง
โจโฉได้รวบรวมสมัครพรรคพวกไว้เป็นอันมาก ทั้งผู้มีสติปัญญาแลทหารเอกก็เข้ามาในเกลี้ยกล่อมเช่น ซุนฮก ซุนฮิว เทียหยก กุยแก อิกิ๋ม เตียนอุย

สามก๊ก ตอนที่ 07 - กลหญิงงาม

ตั๋งโต๊ะยิ่งทำการกำเริบเสิบสานจับคนห้าร้อยคนมาฆ่าดูเล่นอย่างทรมาณในงาน เลี้ยงขุนนาง น่าเวทนายิ่งนัก ฝ่ายอองอุ้นก็ยังทุกข์ใจ มิอาจหาทางกำจัดโจรแผ่นดินลงได้ พอดีนางเตียวเสี้ยนหญิงขับร้องมาพบเข้า คิดอ่านแทนคุณแผ่นดินและพ่อบุญธรรม เสนอตัวคิดอ่านล้างตั๋งโต๊ะเสียด้วยแผนการของอองอุ้นให้ เตียวเสี้ยนแสร้งทำกลมารยา ให้ทั้งลิโป้และตั๋งโต๊ะมีความรักใคร่ในตัวแม่นางเตียวเสี้ยน โดยรับปากจะให้เป็นภรรยาของลิโป้และตั๋งโต๊ะ ครั้นตั๋งโต๊ะพาเตียวเสี้ยนไปอยู่กินแล้ว ลิโป้แค้นใจเป็นอันมาก แต่แอบลอบคบหาแม่นางเตียวเสี้ยนอยู่เนืองๆ ตั๋งโต๊ะมาเห็นเข้าจึงขับไล่ลิโป้ออกไปเสีย ลิโป้เดือดดาลใจเป็นอันมาก เมื่อตั๋งโต๊ะไม่ยินยอมยกเตียวเสี้ยนให้ลิโป้
ฝ่ายอองอุ้นเห็นได้ทีลิโป้เอาใจออกห่าง คิดยุยงให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย ลิโป้เห็นชอบคิดการแก้แค้น อ้างรับสั่งให้เข้าเฝ้า ครั้นถึงที่ตั๋งโต๊ะแลเห็นขุนนางทุกคนถือกระบี่ จึงร้องเรียกลิโป้ผู้บุตร ลิโป้เอาทวนแทงตั๋งโต๊ะที่คอตกรถตาย แลลิยูถูกจับประหารชีวิตเสียด้วยกัน ครั้นตั๋งโต๊ะตายได้จัดศพแห่ขบวนไปทั่วเมือง อาณาประราษฎร์มีใจเจ็บแค้น รุมศพจนศพแหลกละเอียดเปื่อยไป ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงและราษฎรต่างมีความยินดียิ่งนัก

สามก๊ก ตอนที่ 06 - ซุนเกี๋ยนถึงแก่กรรม

ครั้นแยกจากกันแล้ว อ้วนเสี้ยวไปพำนักอยู่ที่เมืองโห้ลาย คิดแย่งตีเอาเมืองกีจิ๋ว แต่งกลอุบายหลอกใช้กองซุนจ้านร่วมตี แล้วส่งจดหมายหนึ่งฉบับหาฮันฮกเจ้าเมืองกีจิ๋ว ว่ากองซุนจ้านจะยกมาตี ฮันฮกจึงเปิดประตูเมืองรับอ้วนเสี้ยวมารักษาเมือง ฝ่ายกองซุนจ้านรู้ว่าถูกหลอกจึงยกทัพมาตีหวังให้หายแค้น งันเหลียง บุนทิว ทหารเอกอ้วนเสี้ยวไล่ตามตีกองซุนจ้านจนเสียที ทันใดนั้นจูล่งเข้ามาช่วยสกัดกั้นงันเหลียง บุนทิว พากองซุนจ้านหนีออกมา เล่าปี่รู้ข่าวจึงมาช่วยสกัดอ้วนเสี้ยวไว้ แลแต่นั้นมาจูล่งกับเล่าปี่ก็ถูกโฉลกกัน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะกริ่งเกรงว่า หากผู้ใดชนะจะกำเริบเสิบสาน จึงส่งหนังสือรับสั่งห้ามเสียทั้งสองฝ่าย ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำกุ๋นคิดยกทัพยุยงซุนเกี๋ยนให้โจมตีเล่าเปียวเจ้า เมืองเกงจิ๋ว เล่าเปียวสั่งให้หองจอสกัดทัพที่เมืองกังแฮ ทัพหองจอถอยร่นซุนเกี๋ยนจึงยกทัพล้อมเมืองเกงจิ๋วได้ เล่าเปียวใช้แผนล่อให้ซุนเกี๋ยนตามไปที่ซอกเขาฮีสัน แล้วใช้เกาทันฑ์แลก้อนหินระดมยิงใส่ซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตาย ผู้บุตรซุนเซ็กจึงได้ปกครองแดนกังตั๋งในเวลาต่อมา

สามก๊ก ตอนที่ 05 - โยกย้ายเมืองหลวง

ภายหลังจากฮัวหยงตาย ตั๋งโต๊ะ กับลิโป้ จึงยกทัพมาขัดทัพที่ ด่านเฮาโลก๋วน ลิโป้ออกรบ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ออกต้านพร้อมกันถึงสามคน พอดีมีทัพกระหนาบมา ลิโป้จึงล่าทัพถอย ต่อมาลิยูคิดแผน ย้ายเมืองหลวง อพยพจากลกเอี๋ยงไปเมืองเตียงฮัน ครั้นตอนย้ายตั๋งโต๊ะสั่งการให้ริบทรัพย์จากเศรษฐีเข้าท้องพระคลัง ปล้นชิงจากราษฎร ขุดศพเก็บทรัพย์สินจากพระมหากษัตริย์องค์ก่อนแลศพราษฎร ได้สินทรัพย์เป็นอันมาก ราษฎรเหยียบล้มตาย ทหารก็เข้าช่วงชิงสินทรัพย์ แลฉุดลากภรรยาชาวบ้าน เสียงร้องอื้ออึงไป รวมทั้งจุดไฟเผาลกเอี๋ยงเสีย
ฝ่ายกองกำลังโจโฉเห็นอย่างนั้นจึงยกทัพพักอยู่ที่ลกเอี๋ยงมิได้คิดตามต่อ โจโฉเห็นท่าไม่ดีจึงแยกเอากำลังตัวเองหมื่นเศษไล่ตามต่อ แต่เสียทีจนเกือบตายดีที่โจหองเข้าช่วยไว้ ฝ่ายซุนเกี๋ยนพบตราหยกสำหรับสำหรับราชสมบัติมีความยินดีนักคิดยกทัพของตัว กลับ อ้วนเสี้ยวสั่งให้เล่าเปียวจัดทัพขวางไว้ ซุนเกี๋ยนหนีออกมาได้ไปปักหลักที่เมืองกังตั๋ง แต่นั้นมาซุนเกี๋ยนกับเล่าเปียวก็ผิดใจกัน แลหัวเมืองต่างๆที่รวมกันก็ผิดใจกันเห็นจะอยู่ต่อไปมิได้จึงทยอยกันกลับ ด้วยตัวอ้วนเสี้ยวหาเป็นผู้นำมิได้

สามก๊ก ตอนที่ 04 - รวบรวมหัวเมืองสู้ตั๋งโต๊ะ

ต่อมาตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้า ตัดศรีษะราษฎร แย่งชิงสิ่งของเป็นอันมาก ทำทีว่าไปปราบโจรขบถมาแล้วชิงทรัพย์สินได้ อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนทุกหัวระแหง แผ่นดินเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
ฝ่ายอองอุ้นขุนนางตงฉินคิดแค้นใจตั๋งโต๊ะอยู่เป็นอันมากแต่มิอาจหักหาญสู้ กับตั๋งโต๊ะได้ โจโฉจึงอาสาสมัครขอกระบี่เข้าไปลอบฆ่า แต่ไม่สำเร็จเอาตัวรอดหนีออกมาได้ แต่ถูกทางการประกาศจับทั่วทุกตำบล รวมทั้งอ้วนเสี้ยวก็ได้ออกมาตั้งตัวออกจากตั๋งโต๊ะด้วย โจโฉหนีจากทางการไม่พ้นถูกจับได้โดยตันก๋ง แต่ทั้งคู่มีใจช่วยเหลือบ้านเมืองเช่นเดียวกันจึงชวนกันหนีออกมาแต่ตันก๋งมิ อาจอยู่ร่วมกับโจโฉได้เมื่อเห็นว่าโจโฉไร้คุณธรรม ที่การไปฆ่าแปะเฉียเพื่อนของบิดาตนเองเนื่องจากการเข้าใจผิดคิดว่าจะจับตัว ส่งทางการ
โจโฉหนีมาถึงเมืองตันหลิว พบบิดาโจโก๋ คิดการปลอมแปลงราชสาสน์ให้ปราบปรามขบถตั๋งโต๊ะ รวบรวมเกลี้ยกล่อมรี้พล ได้เป็นจำนวนมาก ได้แฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน โจหยิน โจหอง ลิเตียน งักจิ้น มาเป็นพรรคพวก เมื่อเจ้าเมืองต่างๆ รู้ข่าว จึงรวบรวมทหารเป็นจำนวนมากทยอยมาสมทบ รวมทั้ง เล่าปี่ด้วย กองกำลังได้มาถึงเมืองลกเอี๋ยงอันเป็นเมืองหลวง ฝ่ายตั๋งโต๊ะส่งฮัวหยงทหารเอกผู้มี ฝีมือร้ายกาจเข้าต่อสู้ ฝ่ายโจโฉมิอาจสู้ได้กวนอูจึงได้รับการแต่งตั้งออกสู้ปะมือกับฮัวหยง แม้จะได้รับคำคัดค้านจากอ้วนเสี้ยวผู้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำของกองกำลัง ครั้งนี้ ผลสุดท้านกวนอูตัดหัวฮัวหยงได้สำเร็จ แต่มิได้รับคำสรรเสริญจากอ้วนเสี้ยว แต่กลับได้นรับคำสรรเสริญจากโจโฉแทน

สามก๊ก ตอนที่ 03 - ทรราชย์ตั๋งโต๊ะ

ฝ่ายตั๋งโต๊ะ พอเข้ามาในวังแล้วกำเริบเสิบสานเข้าชิงทรัพย์ข่มเหงราษฎรแต่ไม่มีผู้ใดห้าม ปราม ขุนนางทั้งปวงต่างกลัวเกรง วันหนึ่งตั๋งโต๊ะได้ชวนขุนนางใหญ่น้อยเลี้ยงสุรา แล้วว่าจะให้ถอดหองจูเปียนเสีย แล้วให้หองจูเหียบผู้น้องครองบัลลังค์แทน ฝ่ายเต๊งหงวนพ่อเลี้ยงลิโป้มิชอบใจตั๋งโต๊ะจึงออกรบพุ่งกันอยู่บ่อยครั้ง ลิยูที่ปรึกษาตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้มีท่าทีองอาจจึงเชิญชวนมาไว้ เป็นพรรคพวก โดยการส่งลิซกพร้อมกับเครื่องบรรณาการมากมายรวมทั้งม้าเซ็กเธาว์ ฝ่ายลิโป้เห็นแก่ลาภยศจึงบุกเข้าปลอบฆ่าเต๊งหงวนพ่อบุญธรรมเสีย แล้วมาอยู่กับตั๋งโต๊ะเป็นพ่อบุญธรรมคนใหม่ ฝ่ายขุนนางจึงยิ่งกลัวเกรงตั๋งโต๊ะเข้าไปอีก ภายหลังตั๋งโต๊ะได้ถอด หองจูเปียนออกจากราชสมบัติจับไปขังพร้อมนางโฮเฮา แล้วส่งลิยูไปปลงพระชมน์ทั้งคู่ แต่งตั้งหองจูเหียบใช้พระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้วตัวเองเป็นเซียงก๊ก ผู้สำเร็จราชการ

ฝ่ายตั๋งโต๊ะ ผู้มีใจหยาบช้าเห็นได้ทีฮุบราชสมบัติจึงรีบยกพลเข้าเมืองหลวงหวังเพื่อกำจัด ขันทีทั้งสิบเสีย ฝ่ายขันทีทั้งสิบเห็นดังนั้นจึงชิงรีบลอบฆ่าโฮจิ๋นเสียก่อนโดยลวงว่านางโฮ เฮามีเหตุให้เข้าเฝ้า โฮจิ๋นเสียทีจึงถูกรุมฆ่าตาย ฝ่ายอ้วนเสี้ยวและโจโฉผู้ซึ่งเป็นขุนนางในราชสำนักเหมือนกันซึ่งอยู่ฝั่งโฮ จิ๋น เห็นดังนั้นจึงบุกเข้าไปฆ่าขันทีทั้งสิบ การโกลาหลยิ่งนักเพลิงไหม้โหมกระหน่ำเข้ามาในวัง ขันทีที่เหลือจึงอุ้มพระราชบุตรทั้งสองคน ลอบหนีออกจากวังหลบหนีเข้าไปในป่า จึงตามพบ ระหว่างทางพบตั๋งโต๊ะตั้งทัพอยู่ จึงเชิญเสด็จเข้าในวัง

สามก๊ก ตอนที่ 02 - การณ์แปรปรวนในราชสำนัก

ภายหลังเล่าปี่ถูกแต่งตั้งไปปกครองเมืองอันห้อก้วนซึ่งเป็นเมืองขึ้นเล็กๆ ราษฎรสรรเสริญเป็นอันมาก ต่อมมาขุนนางต๊กอิ๊ว ได้เรียกส่วยจากเล่าปี่ พาให้เตียวหุยเดือดดาลเป็นอันมาก โบยตีต๊กอิ๊วแล้วทั้งสามก็หนีออกจากเมืองไป ต่อมาได้รับไปประจำตำแหน่งที่เมืองเพงงวนก๋วน
ขันทีทั้งสิบได้เป่าหูพระเจ้าเลนเต้ ทำให้ราชการแผ่นดินฟั่นเฟือนไป ต่อมาพระเจ้าเลนเต้ประชวรหนักจึงสวรรคต มีปัญหาเรื่องการสืบรัชทายาทระหว่างหองจูเหียบผู้น้อง กับหองจูเปียนผู้พี่ โฮจิ๋นผู้เป็นพี่ของพระนางโฮเฮาอัครมเหสีผู้เป็นแม่หองจูเปียน ได้คิดแต่งตั้งให้หองจูเปียนสืบรัชทายาท แต่ขันทีทั้งสิบได้ทำการคิดยกหองจูเปียนผู้น้องขึ้นครองราษฎร์แทน และคิดการลอบฆ่าโฮจิ๋น แต่การรั่วไหลโฮจิ๋นได้บุกเข้าวังหวังกำจัดขันทีทั้งสิบให้ซิ้นซาก แต่ขันทีทั้งสิบได้หลบหนีแล้วไปอ้อนวอนต่อนางโฮเฮาให้ไว้ชีวิต โฮจิ๋นผู้พี่จึงมิอาจทำอะไรได้ แต่โฮจิ๋นได้คิดการที่กำจัดเสี้ยนหนามอยู่ตลอดเวลา แล้วส่งสาสน์ไปหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทัพมาช่วยกำจัดขันทีทั้งสิบ

สามก๊ก ตอนที่ 01 - คำสาบานในสวนดอกท้อ

เดิมแผ่นดินจีนเป็นสุขมาช้านานแล้วจึงเป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข เป็นวัฎจักรวนเวียนมาถึงจวบจนสมัยพระเจ้าเลนเต้ ครองราชย์มิได้ตามอยู่โบราณราชประเพณี ทำให้ราชการแผ่นดินที่มีมาได้แปรผันไป เกิดการก่อขบถ ปล้นสะดมทั่วทุกหัวระแห่ง เตียวก๊ก เตียวโป้ เตียวเหลียง ปลุกระดมไพร่พลก่อขบถโจรโพกผ้าเหลือง สุดที่ทหารแผ่นดินจะต้านทานไหว จึงติดประกาศทุกหัวมุมเมือง รับอาสาสมัครผู้กล้าจับโจรให้จงได้
ฝ่ายเล่าปี่ยืนดูประกาศจากทางการแล้วทอดหายใจอยากช่วยเหลือแต่ติดทางกำลัง ทรัพย์ ด้วยเดิมเป็นชาวบ้านยากจน อาศัยทอเสื่อขายยังชีพ แต่ได้มีเชื้อราชวงศ์ฮั่นติดตัวมา ทันใดนั้นเตียวหุยได้พบเล่าปี่คิดช่วยเหลือ ทั้งสองจึงยินดีเป็นอันมาก ในร้านสุราเล่าปี่ และเตียวหุย ได้พบกับกวนอูซึ่งหลบหนีการตามล่าจากทางการด้วยไปฆ่าคนมา เห็นว่าทั้งสามมีความเห็นพ้องต้องกันช่วยเหลือการแผ่นดิน จึงทำพิธีสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันใต้ต้นดอกท้อ โดยเรียงจากอาวุโส เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ตามลำดับออกรวบรวมรี้พล ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ได้พบกับตั๋งโต๊ะซึ่งทางการได้แต่งตั้งมาให้ปราบปรามแต่ไร้ความสามารถ เล่าปี่จึงเข้าช่วยเหลือ ภายหลังปราบขบถสิ้นซาก พระเจ้าเลนเต้ได้ปูนบำเหน็จนายทหารใหญ่น้อย แต่ตัวเล่าปี่ซึ่งเป็นเพียงอาสาสมัครยังมิได้บำเหน็จ จึงรอคอยอยู่เป็นเวลานาน

เรื่องย่อสามก๊ก - สามก๊กฉบับย่อ

เรื่องย่อสามก๊ก - สามก๊กฉบับย่อ

www.สามก๊ก.com
สามก๊กในรูปแบบฉบับย่อ เพื่อประหยัดเวลาสำหรับผู้สนใจสามก๊กในระดับเบื้องต้น

เนื้อหาสามก๊กฉบับย่อในเวบนี้อนุญาติจ่ายแจกภายใต้อนุสัญญา สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ประเภท

"(CC) BY-NC-ND"Some rights reserved By Kittipat Mahapunt
-----------------------------------------------------------------------------------------------
Community สามก๊กใน FaceBook มีแล้ว คลิกที่นี่เลย


"ยังมิได้อ่านสามก๊ก อย่าพึงคิดการใหญ่ "


                คำกล่าวข้างต้นนี ้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจริง เพราะผู้บริหารที่มีตำแหน่งใหญ่โตส่วนใหญ่จะอ่านสามก๊กเจนจบมาแล้วทั้งนั้น กล่าวถึงเรื่องสามก๊กนี้เรียกได้ว่าแทบทุกคนจะต้องรู้จักหรือคุ้นกับ วรรณกรรมชิ้นนี้ดี เพราะเป็นวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ที่มีคำกล่าวว่าดีที่สุดในโลก แฝงไปด้วยข้อคิดสอนใจต่างๆนานา สามารถประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ธุรกิจปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ศิลปะเล่ห์ยุทธ์ต่างๆจะสามารถพบเห็นได้จากเรื่องนี้โดยตลอด ไม่ว่าเป็นศิลปะการใช้คน กลยุทธ์การเป็นผู้นำ บทวิเคราะห์สถาณการณ์ต่างๆ จนมีคนกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดอ่านสามก๊กจบสามหน คบไม่ได้"

                เดิมสามก๊กได้เริ่มต้นแต่งโดย เฉินโซ่ว ได้เขียนเหตุการณ์สามก๊กเป็นจดหมายเหตุ(ซานกว๋อจื้อ)จากเหตุการณ์จริง โดยบรรยายเป็นลักษณะและเหตุการณ์ของบุคคลเป็นคนๆไป ไม่ได้ผูกเป็นเนื้อเรื่อง อย่างที่พบเห็นกันในปัจจุบันนี้ ต่อมา หลอ กว้าน จง นำเอาจดหมายเหตุฉบับนี้มาแต่งเป็นนิทาน(ซานกว๋อเหยี่ยนอี้) โดยยึด เอาสิ่งที่ได้จากเหตุการณ์จริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และได้ผูกเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวอ่านสนุก ทั้งเสริมเหตุการณ์ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงบางส่วน แต่กลับได้รับความนิยมและข้อคิดต่างๆเพิ่มมากขึ้น อาทิเช่น เหตุการณ์ตอนแม่นางเตียวเสี้ยน หว่านล้อมเสน่ห์ให้ตั๋งโต๊ะกับลิโป้ผิดใจกัน โดยความจริงแล้ว แม่นางเตียวเสี้ยนไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ หากแต่ หลอ กว้าน จงนำมาเสริมแต่งเองเท่านั้น กลับกลายเป็นว่ามีหลายคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ไม่คิดว่าเป็นเรื่อง เสริมแต่งเพราะอ่านแล้วสนุกทั้งให้ข้อคิดต่างๆมากมายเหลือเกิน สามก๊กที่ท่านอ่านอยู่ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นของฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) Brewitt.Taylor หรือฉบับวณิพกซึ่งนำเค้าโครงมาจากภาษาอังกฤษนี้อีกทีก็ตาม ก็คือสามก๊กฉบับของ หลอ กว้าน จง นั่นเอง แต่ถูกนำมาเรียบเรียง แปลออกมาเป็นหลายภาษา

ปรัชญาสู่ความยิ่งใหญ่


การดำรงชีวิตของคนเรานั้น มีคนกล่าวว่า “ เป็นไปตามกรรมนั้น ”ย่อมหมายถึงการกระทำของคนเรา นั้นเอง การกระทำของคนเรานั้นจะทำให้ประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั้นย่อมขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคน แต่ก็มีคนกล่าวว่า การก้าวไปสู่ความสำเร็จในการดำรงชีวิต มีหลักปฏิบัติที่สามารถนำทางไปสู่ความสำเร็จได้โดยใช้ ปรัชญาง่าย ๆ แต่ปฏิบัติยากอยู่เพียง 6 ข้อ ก็คือ
1.  จดจำไม่ลืมเลือน
การจดจำเรื่องดีๆ นั้นเป็นการเก็บเกี่ยวให้เป็นความทรงจำอันประทับใจ เพื่อสร้างความสุข และกำลังใจในการทำงานของคนเราหากเราจำในเรื่องดี ก่อให้เกิดความมุมานะ พยายาม มีความมั่นใจในการดำเนินการต่อไปอย่างมีความหวัง มีความสุข ตลอดจนการจดจำเรื่องร้าย หรือเรื่องที่ล้มเหลวในการทำงาน ก็ควรจดจำปัญหาอุปสรรคเหล่านั้นไว้ในความทรงจำเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการทำงาน เพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น เดิมอีกต่อไปในอนาคต
2.  เข้าใจคนอื่นก่อน
การเข้าใจคนอื่นก่อนนั้นเป็นปรัชญาที่สำคัญในการดำรงชีวิต เพราะคนเราในปัจจุบันนั้น มักยึดความเห็นของตนเอง ตัวตนของตนเป็นหลัก หากสามารถทำความเข้าใจกับตนเองให้มีความเข้าใจคนอื่นก่อน จะให้คนอื่นเข้าใจ เรานั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ฟังคนอื่นรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ยอมรับ และหากเห็นว่าดีก็ยินดีปฏิบัติตามหากความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็สามารถอธิบาย ชี้แจง แถลงไปความคิดของตนเองได้อย่างมีเหตุผล และยอมรับความคิดเห็นคนอื่นตลอดเวลา
3.  มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญสำหรับผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ที่ประสบได้อย่างเหมาะสม ไม่คล้อยตามคนอื่นอย่างไร้เหตุผล ไม่ทำตนเย่อหยิ่งมีความมั่นคงในจิตใจ แต่บุคลิกนั้นอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนลักษณะอ่อนนอกแข็งในในการทำงาน มีความมุ่งมั่นทำงานให้ประสบความสำเร็จ และพร้อมแสวงหาความร่วมมือกับทุกฝ่าย
4.  การให้มากกว่ารับ
นั้นเป็นปรัชญาที่สำคัญ คนเราหากยึดถือความเมตตาในการให้กับบุคคลอื่น ๆ ย่อมสร้างความประทับใจแก่ผู้พบปะเห็นอยู่เสมอและจะได้รับความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดี
5.  มีความรับผิดชอบ
ปรัชญาของความรับผิดชอบนั้นเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะความรับผิดชอบกับตนเองมากกว่าอย่างอื่น คนใดที่ยึดถือปรัชญาทางด้านความรับผิดชอบเป็นหลักในการดำรงชีวิตแล้วย่อมมีแต่ความสำเร็จในการดำรงชีวิตตลอดเวลา ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เรื่องของตนเอง เรื่องของครอบครัว เรื่องของชุมชน ของตำบล หมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด ความรับผิดชอบเหล่านี้ หากได้รับความเอาใจใส่และน้อมนำมาสู่การปฏิบัติ จะนำทางให้ชีวิตประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
6.  มีความมุ่งมั่นในเป้าหมาย
การดำรงชีวิตอย่างมีเป้าหมายนั้นมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการดำรงชีวิต เป็นอย่างยิ่ง การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และกระจ่างแจ่มแจ้งในการทำงานให้ทุกคนในทีมนั้น ย่อมทำให้งานที่รับผิดชอบ มีความสำเร็จ เป็นไปตามเป้าหมายอย่างตรงจุด คนจะนำปรัชญานี้มาใช้ต้องมีความอดทน อดกลั้น มีความเพียร และมีสติ ในการดำรงชีวิต และมีความพร้อมซึ่งความรอบรู้ รอบคอบ มีความระมัดระวัง ตลอดจนมีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้งในการทำงาน การดำรงชีวิตดังว่านั้น ย่อมประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิตแน่นอน
ปรัชญาสู่ความยิ่งใหญ่ทั้งหกประการนั้น หากเราจดจำไม่ลืมเลือนเข้าใจคนอื่นก่อน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีพฤติกรรมที่มีแต่ให้มากกว่ารับ มีความรับผิดชอบ และมีความมุ่งมั่น   ในเป้าหมาย จะสามารถทำให้คนเรามีความสำเร็จไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้อย่างแท้จริง...ลองทำดูนะครับท่าน...

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผลงานนี้ ใช้ สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย .