บทความไตรภาคจากเฟสบุ๊ค"2555 จุดกำเนิด 2 ไทยใน 1 ประเทศ"(1)

79 ปี นับตั้งแต่ประเทศไทย เชื่อว่าทักษิณจะต้องติดอันดับท็อปเทนของผู้ที่ถุกก่นด่าอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะด่าจนหมดสต๊อก หรือ แช่งชักหักกระดูกเช่นไร ทักษิณไม่สนใจ เพราะสิ่งที่เขากระทำอยู่ทุกวันนี้ คือการบรรลุเป้าหมายให้ได้ โดยไม่ต้องสนใจถึงคุณธรรมและวิธีการ
หากทักษิณคือคนเล่นเกมส์ เขาจะไม่เล่นเกมส์แอ๊คชั่นประเภทยิงกันให้แหลก ให้ใส้แตกกันไปข้างหนึ่ง แต่เขาจะเล่นเกมส์วางแผน สงบ รุก แล้วก็รบ แต่คนที่รู้ทันอย่าไปเล่นตามเกมส์ของเขา เขาอยากให้มวลชนออกมา ก็จัดให้ เขาอยากให้มีการปฎิวัติ รถถังก็ออกมา คือการเข้าทางเขาหมด
ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา หากเปรียบทักษิณเป็นน้ำ ก็อย่าไปใช้บิ๊กแบ๊คกั้น ให้ไหลมาแล้วเปลี่ยนทางน้ำ หรือ สูบทิ้งไปเสีย หากเป็นไฟ ก็ใช่จะปล่อยให้จุด แล้วเอาน้ำมาดับ เราควรจะไปทำให้ไฟแช๊ค หรือ หัวของไม่ขีดนั้น หมดประสิทธิภาพจะดีกว่า
ไปพบบทความบทหนึ่งของเพื่อนในเฟสบุ๊ค"คุณไพโรจน์ จีรบุณย์ ชื่อเรื่องว่า"2555 จุดกำเนิด 2 ไทยใน 1 ประเทศ" ได้อ่านแล้ว เห็นว่าวางมุมมอง และวิเคราะห์ได้ดี เห็นภาพชัดเจน ซึ่งในบริบทของผู้เขียนบทความได้บอกไว้ว่า"บทความนี้ เขียนขึ้นเพื่อตอบแทน บุญคุณแผ่นดินเกิดเท่านั้น อย่าอ่าน ถ้าใจไม่กว้างพอ
"ลองอ่านกันครับ น่าสนใจ


" 2555 จุดกำเนิด 2 ไทยใน 1 ประเทศ "(1)

ขอยืนยันว่า ทุกถ้อยคำในบันทึกนี้ ไม่ได้เขียนด้วย ความเกลียดชัง ดูถูก เหยียดหยาม บุคคลใดทั้งสิ้น ให้ ทุกท่านที่ได้อ่าน ได้ใช้สติ ปัญญา ของแต่ละท่าน ใคร่ครวญเอง และทั้งหมดนี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์ หรือ ข้อมูลวิชาการ ที่อ้างอิงความถูกต้อง ของข้อมูล ในรายละเอียด เป็นเพียงการอธิบาย ความเข้าใจในภาพรวม ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ของคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่มี วุฒิทางการศึกษา วุฒิทางการเมือง วุฒิทางการบริหาร หรือวุฒิใดๆในสังคม ที่สูงส่ง นอกจากวุฒิของความเป็นคนไทยเต็มจิตวิญญาน ที่ใช้"สติ"เป็นที่ตั้ง ในการสังเกต เฝ้ามอง ค้นหาความเชื่อมโยง ความเป็นไปจากการกระทำ ของหลายคน หลายฝ่าย การพยายามประเมินเหตุ เพื่อธิบายผล ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ที่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย อย่างไม่มีวันหวนคืนเท่านั้น

แรงบันดาลใจที่ต้องลงมือเขียน ก็ด้วยเชื่อว่า เรากำลังจะ"สิ้นชาติ"  ใน ทัศนคติของผม การสิ้นชาติในยุคสมัยนี้ ต่างจากที่เราคุ้นเคยกันโดยสิ้นเชิง และการสิ้นชาติของแต่ละประเทศ ก็ต่างกันไปตามเงื่อนไขของประเทศนั้นๆ ไม่มีการรุกล้ำทางทหารจากต่างชาติ ไม่มีการโดนปกครองจากต่างชาติ ก็สิ้นชาติได้ เพราะฉนั้น การป้องกันการสิ้นชาติ ก็ไม่จำเป็นต้องมีอาวุธ ไม่จำเป็นต้องใช้นักรบ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง อาจใช้เพียงจิตวิญญานความรักชาติ ความพยายามในการหาสาเหตุ ความกล้าในการแสดงความคิด ด้วยสองมือและโน๊ตบุค 1 ตัว ก็หวังว่ามันจะได้ผลครับ

การสิ้นชาติไทยของเรา ในความคาดหมายของผม จะมีลักษณะดังนี้ ผู้คนกลุ่มใหญ่เกินครึ่งประเทศ แตกแยก เกลียดชังกันแบบที่สามารถทำร้ายเข่นฆ่ากันได้ โดยไม่ต้องโกรธเคืองกันส่วนตัว แต่เป็นความขัดแย้งทางการยึดติด"ความเชื่อ" การยึดติด"ประโยชน์" การยึดติด"เงื่อนไขทางการเมือง"(ทั้งที่เกืดขึ้นจริง ที่ถูกกล่าวอ้าง และที่ถูกสร้างขึ้นมา) ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เมื่อความรุนแรง การทำลายล้างเกืดขึ้นมาก และสะสมจนถึงจุดแตกหัก ก็ต้องแบ่งเขตแยกกันให้เด็ดขาด หรือทำลายอีกฝ่ายให้สูญสิ้น การสิ้นชาติในความหมายของผม ก็คือ ถึงแม้ชื่อประเทศจะคงเหมือนเดิม สภาพประเทศยังคงเหมือนเดิม สิ่งก่อสร้างยังคงเหมือนเดิม แต่"จิตวิญญาณคนไทย และเรื่องเล่าที่น่าภูมิใจไปยังลูกหลานจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"

จะเห็นว่าประเด็นที่เป็นสาเหตุหลัก ที่นำพา"ทุกคน"ไปสู่การสิ้นชาติคือ"ความเชื่อ" เราจะแก้ความเชื่อ ก็คงต้องเริ่มจาก"ความเข้าใจ"ถึงที่มาของเหตุ ที่อาจนำไปสู่การสิ้นชาติ เพื่อให้ทุกคนได้มี"สติ"พอที่จะเกิด"ปัญญา"ที่จะนำไปสร้าง"ความคิด" เมื่อได้ครบสามเหลี่ยมแห่งการตัดสินใจแล้ว ถ้าทุกท่านจะเลือกทำอะไร อย่างไร ประเทศไทยก็จะเป็นไปตามนั้น แต่อย่างน้อยทุกท่านจะได้ไม่ต้องประสบกับช่วงเวลา ที่จะต้องจมกับความรู้สึกทรมาน ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต เมื่อสำนึกถึงสิ่งที่ทำลงไปกับ"ลูกหลานไทย"

ขอเริ่มจาก พัฒนาการของการเมืองไทย ด้วย พื้นฐานของประเทศที่มีประชาธิปไตย โดย"ประชาชนที่ต้องใช้สิทธิและเสียงโดยไม่มีความพร้อม" ทั้งในแง่ความเข้าใจพื้นฐาน เกี่ยวกับ สิทธิ เสรีภาพ ตลอดจน บทบาท หน้าที่ ของประชาชนเอง ที่จะทำให้เกิด สำนึก ที่จะกลายเป็น สังคมประชาธิปไตย และกลายเป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตย ที่มีความเข้าใจสืบทอดไปในแต่ละรุ่นได้เอง นี่ยังไม่ด้องพูดถึงแก่นที่แท้จริงของประชาธิปไตยในการอยู่ร่วมกัน ระหว่างเสียงส่วนใหญ่กับเสียงส่วนน้อยและอื่นๆอีกมาก ที่ยังมีคนไม่เข้าใจอีกมาก

ด้วยเหตุจากความไม่พร้อมทางการศึกษา และติดกับระบบการปกครองเดิม ที่เรามี"เจ้านาย"มาตลอด เพราะฉนั้น ปัญหาจึงเริ่มเกิด ตั้งแต่เราเริ่มมีการเลือกตั้ง เราไม่ได้เข้าใจว่า เราเลือกตั้ง"เพื่อหาคนที่จะมาทำงานให้เรา" เพื่อแก้ปัญหาและทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกัน โดยมีโอกาสในชีวิตเท่าๆกัน แต่กลับกลายเป็นว่า เราเลือกตั้ง"เพื่อเลือกเจ้านาย" เพื่อจะมาสั่งให้เราทำตามที่นักการเมืองคิด อาจมาช่วยเหลือบ้าง แต่ทั้งหมด "ก็ในฐานะเจ้านายอยู่ดี" โดยเฉพาะกับกลู่มคนที่ด้อยโอกาส ในสังคมไทย 2 กลู่มใหญ่ เกษตรกร และผู้ใช้แรงงาน ฐานล่างสุดของสังคม ที่แบกคนในทุกฐานะอาชีพมาตลอด แทบจะเรียกว่าเริ่มต้นมาจากไหน ก็แทบไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากไปจนรุ่นลูกหลาน อาจมียกเว้นในหลายคน หลายครอบครัว ที่ถีบตัวขึ้นมาจากฐานล่างนี้ได้ ซึ่งคงไม่ใช่จำนวนมากนัก แต่ต้องยอมรับว่า นี่คือกลุ่มคนที่น่ายกย่องในความสามารถ ที่สามารถแหวกออกมาจากการเป็นผู้ด้อยโอกาสได้

แต่ผลจากการที่เราไม่มี"วัฒนธรรมประชาธิปไตย" กลุ่มคนจากฐานล่างนี้ เมื่อมีโอกาส"ได้รับเลือกเป็นเจ้านาย"ก็ไม่ได้มีสำนึก ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาให้กับกลุ่มฐานล่างที่ตนเองเคยอยู่ แต่กลับใช้ความเข้าใจ ในความต้องการของคนกลุ่มฐานล่าง ในการสร้างวัฒนธรรม ที่ทำลายประชาธิปไตย ด้วยการปลูกฝังความคิดที่ว่า"ถ้ารวมกลุ่มได้ใหญ่พอ แล้วเลือกผู้ที่สัญญาว่าจะทำในสิ่งที่ถูกใจ ให้กับกลุ่มคนกลุ่มนั้น เรื่องอี่นของคนอื่นก็ไม่ต้องสนใจ"เพราะผู้ชนะเท่านั้น จะได้สิ่งที่ต้องการ การเลือกตั้งที่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ ใทางการเมือง ก็เลยต้องเป็นศัตรูกัน(อยู่ลึกๆ) ได้ถูกปลูกฝังลงในสังคมประชาธิปไตยของไทย และงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ตามความอยากได้ในวัตถุ และคุณภาพชีวิตที่ดี ตามนิยามของสังคมในแต่ละยุค ประชาธิปไตยที่"วัดคุณค่าของนักการเมือง ด้วยสัญญาว่าจะให้"ก็กลายเป็นสิ่งที่คนฐานล่างเสพย์ติด นับแ่ต่นั้น

ด้วยวิธีในการได้"เจ้านาย"มาปกครอง โดยการหยิบยื่นให้เพื่อแลกเปลี่ยน นักการเมืองของไทย ก็เลยถูกสร้างมาด้วยรูปแบบที่ต้องการอำนาจเพื่อเป็นเจ้านาย แล้วร่วมกับข้าราชการเลวโกงกิน เพื่อต้องการเงินไปหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ชาวบ้าน ให้เลือกตนมามีอำนาจ เป็นวัฎจักรเช่นนี้ ไม่ได้มา"ทำงานเพื่อส่วนรวม" ถึงจะมีแต่ก็น้อยมาก จนไม่สามารถสร้างประโยชน์โภคผลใดๆ แต่กลับตอกย้ำภาพแห่งการใช้อำนาจหาประโยชน์จนชินชา เป็นที่สิ้นหวังโดยเฉพาะกับกลุ่มคนฐานล่าง "และความสิ้นหวังที่ถูกเพิกเฉย ทอดทิ้งจากเพื่อนร่วมชาตินี่เอง" ที่เป็นจุดเิ่ริ่มของการพลิกโฉมการเมืองของประเทศไทย ไปตลอดกาล

การมาถึงของทักษิณ นักธุรกิจผู้ปราดเปรื่อง ผู้ประกาศสร้างความมั่งคั่ง และฉุดดึงผู้คนที่หมดหวัง ให้ขึ้นมาพบกับความจริงยิ่งกว่าฝัน สามารถจับต้องได้ อย่างไม่เคยมีนักการเมืองคนใด คิดจริง ทำจริง มาก่อน ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้น จะมีข้อดี ข้อเสีย เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร แต่ความจริงคือ ทักษิณ เข้าใจและเห็นในอีกมุม ของผู้ที่ถูกเพิกเฉยเหมือนไร้ค่าทางการเมือง ไม่เคยมีใครสนใจฟังอย่างจริงจัง ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความคิด ไม่มีความเห็น เพราะไม่มีการศึกษา ไม่มีอนาคต แต่มี 1 เสียงที่ทรงพลัง ในวันเลือกตั้งเท่ากับทุกคนเท่านั้น ที่ผ่านมานักการเมืองต้อง"แอบซื้อเสียง ซื้อใจ ในช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง"ด้วยเงินที่โกงมา แต่ทักษิณมีมุมมองไม่เหมือนใคร เขาจึง"ประกาศซื้อเสียง ซื้อใจ ในช่วงเวลายาวนาน ตราบที่เขายังมีอำนาจ"ด้วยเงินภาษิของคนไทยเอง ที่เราเรียกว่า"ประชานิยม"

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่มีใครคิดแบบทักษิณ คำตอบก็น่าจะมาจากเรื่องหลักๆดังนี้ นักการเมืองไทยชินกับการทำตาม หรือเอาแนวคิดของต่างชาติมา ไม่มีนักคิด นักแก้ปัญหาเชิงรุกที่แท้จริง ไม่มีความสนใจจริงจัง และมุ่งประโยชน์ส่วนตัว กับดูถูกประชาชน ว่าเป็นแค่เจ้าของประเทศวันเดียว ที่ผ่านมาก็ผลัดกันมีอำนาจ แบ่งประโยชน์กันได้ตามวิถีเดิมๆอยู่แล้ว นี่คือความประมาทของนักการเมืองอาชีพ นักการเมืองทั้งตระกูล ที่เป็นกันมายาวนานจนทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา อะไรที่ดำรงอยู่ด้วยวิถีเดิมๆ ย่อมมีจุดที่ผู้มุมมองอย่างตั้งใจกว่า จริงจังกว่า ลึกกว่า จะสามารถหาช่องในการสร้างความโดดเด่นได้ โดยเฉพาะถ้ามีทุนทั้งการเงินและชื่อเสียง

จุดกำเนิดของปัญหา การมีนโยบายที่ฉีกล้ำของทักษิณ ทำให้เป็นที่จับตาของสังคมทุกระดับ ปัญหาที่แท้จริงเกิดจาก "การเริ่มเข้าสู่การมีอำนาจของทักษิณด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต" ที่ไม่เป็นสิ่งที่คุ้นเคย หรือมีใครกล้าทำมาก่อน อย่างเอิกเกริก ทั้งซื้อพรรคการเมืองเข้ามาทำให้กลายเป็นพรรคใหญ่ ทั้งมีคดีซุกหุ้นที่เป็นความไม่สุจริตที่ร้ายแรงมาก แต่ทุกอย่างก็ถูกปล่อยให้ผ่านไป ด้วยความเห็นชอบหรือเพิกเฉยของผู้คนทั้งระดับบน ไปจนระดับล่าง ด้วยเหตุที่ว่าทุกคนที่สนับสนุน ล้วนแต่มอง"ประโยชน์ส่วนตน"ที่จะได้รับ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ด้วย"ความเชื่อ"ว่า การให้โอกาส คนที่ทั้งเก่ง ทั้งรวย และประกาศว่าจะไม่โกงกิน น่าจะเป็นความหวัง ที่หลุดจากความจมปลักอย่างที่ผ่านมาได้ซักที เรื่อง"เล็กๆน้อยๆ"บางเรื่อง ถ้าไม่มองข้ามบ้าง ก็จะเสียโอกาสได้คนเก่งๆมาบริหารประเทศ "นี่คือจุดที่สายน้ำไม่มีวันไหลกลับของประเทศไทย"

เมื่อเราอยากได้ทักษิณ เราก็ต้องยอมรับสิ่งที่ติดมากับทักษิณด้วย ทักษิณ เป็นคนที่..."พยายาม"คิดต่าง"ทำต่าง"... เป็นคนที่มองหา"ช่องทาง"ก่อน"วิถีทาง"... เป็นคนมอง"เป้าหมาย"ก่อน"ขั้นตอน"...เป็นคนที่"กล้าเสี่ยง"กับ"ผลลัพธ์ "...ด้วยความเป็นทักษิณ ที่เราอยากได้ในตอนแรก เมื่อถึงวันที่ทักษิณ "ทำทุกอย่างแบบทักษิณ" ผู้คนส่วนหนึ่งเริ่มมองไกล เริ่มตระหนัก เริ่มวิตก กับการนำพาประเทศไปในแบบทักษิณ เพราะสำหรับคนที่มีความรู้ ความเข้าใจ ในผลกระทบที่จะเกิดในระยะยาว ต่างรู้ว่า ไม่ว่าทักษิณจะเก่งกล้า บริสุทธิ์ใจหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า ทักษิณกำลังนำทุกคนในประเทศเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงแบบธุรกิจ ถ้าสำเร็จตามทักษิณคิด เราก็จะกลายเป็นประเทศบริโภคนิยมในทุกระดับ ภายใต้การมีภาระค่าใช้จ่ายที่บีบคั้น สูงลิ่วจนแบกรับไม่ไหว ทั้งยังมีโอกาสสูงมากที่จะสูญเสียสาธารณูปโภคพื้นฐาน และทรัพยากรธรรมชาติให้ต่างชาติอย่างถาวร ซึ่งจะแก้ไขไม่ได้อีกเลย จนกลายเป็นประเทศล้มละลายในที่สุด

ไม่ว่าสิ่งที่ทักษิณทำไปจะด้วยเจตนาดีหรือไม่อย่างไร แต่ต้องยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรก ที่มีผู้นำที่พยายามเปลี่ยนแปลงประเทศ ที่เคยมีปัญหาใหญ่ขั้นพื้นฐานภายในทั่วๆไป พรือวิกฤติจากภายนอก ก็แค่เรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นระยะ ไม่เคยมีครั้งใดที่ประเทศ จะถูกดึงเข้าสู่เส้นทางความเสี่ยงอย่างสูง ด้วยเป้าหมายในการทำประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศพัฒนา โดยระบบทุนนิยมเต็มรูปแบบ ที่ทุนใหญ่จะกินทุนเล็ก อย่างไร้ปรานี และด้วยเหตุที่ทักษิณได้มีการกระทำในหลายวาระ ทั้งในและนอกหน้าที่ผู้นำประเทศ ที่สามารถเชื่อมโยงการได้ผลประโยชน์กับตนเองและพรรคพวก พร้อมไปกับทิศทางในการนำพาประเทศ มีเสียงทัดทานจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับแนวคิดการกระทำหลายอย่าง แต่ด้วยการซื้อพรรคการเมืองเข้ามาจนเข้มแข็ง ระบบการปกครองปรกติไม่สามารถหยุดยั้งทักษิณได้

ด้วยคุณลักษณะเฉพาะของทักษิณที่ไม่ฟังใคร ไม่ว่าจะเป็นการเตือนด้วยหวังดีต่อประเทศหรือไม่ ก่อให้เกิดแรงต่อต้าน ทั้งในแง่ความไม่ชอบส่วนตัว ความสงสัยในการทุจริต ความไม่พอใจในการทำให้ประเทศ เสี่ยงกับการล่มสลายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ที่ต้องการให้ประเทศไทยเจริญในแบบของตัวเอง ในแนวเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ดีกินดีโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ จนเสียหายต่อลักษณะเฉพาะของประเทศจนเกินไป นี่คือความขัดแย้งหลักของแนวคิดและทิศทางของประเทศที่แตกต่างกันคนละขั้วเลย ทีเดียว

เกิดการรวมตัวของฝ่ายต่อต้านทักษิณ ในชื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม) เรียกว่าคนเสื้อเหลือง ซึ่งรวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ต่อต้านทักษิณเหมือนกัน แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน กลุ่มคนส่วนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ มีการศึกษา ตลอดจนคนที่มีความคิดที่มองไปข้างหน้าอย่างมีเหตุผล และไม่ยินดีกับการทำอะไรที่ผิดต่อกฎหมาย และเสียหายต่อประเทศชาติ ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะทำให้ประเทศไทยอยู่รอดในทุกสภาวการณ์ของโลก แต่แน่นอนมีแกนนำและผู้เข้าร่วมส่วนหนึ่ง ทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว และเป็นนักประท้วง หรือผู้จัดการชุมนุมมืออาชีพ

เมื่อเกิดคนต่อต้านทักษิณ ก็ต้องเกิดคนสนับสนุน คนเสื้อเหลืองได้ทำการชุมนุมขับไล่ทักษิณต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้สนับสนุนทักษิณ ที่มีความเชื่อว่าทักษิณเป็นคนเก่ง เป็นคนดีที่โดนรังแกจากผู้ที่เคยมีอำนาจ และต้องการแย่งอำนาจกลับไป การรวมตัวของกลุ่มนี้เกิดขึ้นมาในนามคนเสื้อแดง ที่ประกอบด้วย กลุ่มคนชั้นฐานล่างของประเทศ ทั้งเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน อาชีพรับจ้างต่างๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นหวัง ในช่วงการปกครองที่ผ่านมา แต่มาได้ประโยชน์จากทักษิณเป็นครั้งแรก โดยถูกรวบรวมผ่านผู้นำกลุ่ม ผู้นำชุมชน ในหลายระดับ ภายใต้การดูแลของนักการเมืองฝ่ายทักษิณ และผู้สนับสนุนที่มีธุรกิจเอื้อประโยชน์กับทักษิณ ตลอดจนนักวิชาการ บุคคลชั้นกลางที่อยากให้ประเทศร่ำรวยด้วยวิธีใดก็ได้ จะได้ร่ำรวยไปด้วย

เชื่อว่าในเบื้องต้นทักษิณใช้คนเสื้อแดงเป็นพลังมวลชน เพียงเพื่อการสร้างพลังคานกับคนเสื้อเหลืองไม่ให้มีพลังกดดันรัฐบาลทักษิณมากเกินไป เพราะไม่สามารถใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ได้ ในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับการชุมนุมโดยสันติ แต่เนื่องจากการจัดตั้งควบคุมมวลชนไม่ดีพอ หรืออาจต้องการปล่อยให้มีการปะทะของมวลชน เพื่อให้สามารถจัดการยุติการชุมนุมที่มีความวุ่นวายได้ จึงเกิดการปล่อยให้มวลชนสองฝ่ายปะทะกันจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย เป็นจุดเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างประชาชน เชื่อว่าครั้งแรกนี้ไม่ใช่ความจงใจของทักษิณ แต่นี่คือการค้นพบ"วิธีการเปลี่ยนคู่ขัดแย้ง" จากทักษิณกับฝ่ายต่อต้าน ไปเป็น"ความขัดแย้งระหว่างประชาชน ฝ่ายต่อต้านกับฝ่ายสนับสนุน"อย่างเต็มตัว

เมื่อมีแนวโน้มว่าจะมีปรากฎการณ์ปล่อยให้คนไทยฆ่ากันเอง ฝ่ายทหารจึงลงมือใช้สูตรสำเร็จในการจบปัญหาความขัดแย้ง คือปฎิวัติล้มกระดาน จัดการสะสางปัญหาของทักษิณในการมีอำนาจเกินไป แล้วค่อยเริ่มต้นกันใหม่ เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะค่อยๆ ลืมๆกันไป ยอมๆกันไป ขอเพียงให้ทักษิณต้องถูกพิจารณาความผิด เดี๋ยวผู้คนก็คงลืมทักษิณไปเอง นี่คือการประเมินทักษิณผิดอย่างมาก ถึงแม้ทักษิณจะต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ทักษิณก็สามารถใช้ทุกวิธีในการสร้างตัวตน ความคงอยู่ให้รับรู้ผ่านสื่อทั้งต่างประเทศ ในประเทศ ถึงผู้สนับสนุนตลอดเวลา โดยมีตัวช่วยจากความรู้ไม่เท่าทันของรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ช่วยสร้างข่าวให้อีกแรง ทักษิณจึงลงจากอำนาจบริหาร แต่กลับมีอำนาจเหนือการเมืองไทยต่อไป อาจจะมากกว่าเดิมหลายเท่าด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครรู้การเคลื่อนไหวแท้จริง ความพยายามติดตามตรวจสอบ ก็เท่ากับเป็นการช่วยรายงานข่าวสารของทักษิณอย่างต่อเนื่อง

ในระหว่างรอการลงจากอำนาจของรัฐบาลชั่วคราว ทักษิณใช้กลยุทธหลายอย่าง ที่ถนัดก็คือการสร้างประเด็นทางการเมือง ทางความเชื่อ เพื่อให้ผู้สนับสนุนไม่ยึดติดกับตัวทักษิณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างความเชื่อบางอย่างให้ยึดติดด้วย คนเสื้อแดงเองก็ถูกนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อสร้างความภูมิใจในการต่อสู้ว่า ไม่ได้ต่อสู้ให้กับการเสียอำนาจของทักษิณ แต่สู้เพือความถูกต้อง เพื่อประชาธิปไตย โดยมีทักษิณเป็นตัวแทนของนักประชาธิปไตย ในชื่อว่า แนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(นปช) โดยคราวนี้ได้ระดมทั้งนักจัดการชุมนุม และผู้นำมวลชน ผู้นำกลุ่มต่างๆมาเดินตามยุทธศาสตร์ของทักษิณอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือทุกคนหวังประโยชน์จากทักษิณ ทั้งในแง่ผู้นำทางการเมืองที่มีคนนิยมที่ช่วยให้นักการเมืองในสังกัดได้รับ เลือกตั้งได้ง่าย ทั้งในแง่กลุ่มทุนที่เอื้อประโยชน์กัน ทั้งในแง่ของคนค้าขายที่เชื่อว่าทักษิณทำให้เศรษฐกิจดีค้าขายได้ดี สุดท้าย ประชาชนชั้นฐานล่าง ก็ยังคงไม่ลืมสิ่งที่ทักษิณมอบให้ ด้วยความรู้สึกจากใจจริงของคนเหล่านั้น แต่ก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งพรรคไทยรักไทยก็ถูกยุบ ด้วยคดีทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก่อนการปฎิวัติ แต่ทักษิณก็ให้กำเนิดพรรคใหม่คือพลังประชาชนในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น  

ในที่สุดพรรคการเมืองของทักษิณก็ได้กลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้งอย่างท่วมท้น ได้จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอย่างเด็ดขาด เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความนิยมที่มากขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วไปจำนวนมาก แม้ไม่ใช่เสื้อแดงแต่ก็อยากได้ทักษิณกลับมา ด้วยต่างเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ต้องยอมรับว่าภาพผู้นำเก่งกล้าที่ถูกรังแกยังคงอยู่ เป็นภาพที่ใหญ่และมีการให้ความสำคัญมาก ต่อผู้สนับสนุนที่รักทักษิณจริงๆ แน่นอนความรู้สึกที่บริสุทธิ์เหล่านี้ ไม่ได้หลุดรอดจากการรับรู้ของทักษิณ และผู้ที่เกาะทักษิณที่มองเห็นโอกาส สร้างความสำคัญให้กับตนเอง ด้วยการเกาะกระแสรักทักษิณที่ปรากฎอยู่ ทั้งผู้จัดการชุมนุม ผู้ที่เป็นนักเรียกร้องประชาธิปไตย นักวิชาการ คนดังต่างๆ ล้วนแล้วแต่เห็นโอกาสทองครั้งนี้

คนเสื้อเหลืองจัดการชุมนุมประท้วงอีกครั้งต่อรัฐบาลพลังประชาชน ด้วยความไม่พอใจต่อนโยบายเอื้อทักษิณ โดยเข้ายึดทำเนียบ แม้นายสมัคร สุนทรเวช ถูกออกจากตำแหน่งนายก แล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกแทน การชุมนุมก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนลุกลามไปสู่การปิดสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แม้กระทั่งคนเสื้อเหลืองเองส่วนหนึ่ง ก็ไม่อยากร่วมด้วย ขณะเดียวกันก็มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง เรียกร้องประชาธิปไตยควบคู่กันไปและสนับสนุนรัฐบาล แต่ไม่มีการปะทะกันของมวลชน อาจเนื่องจากเป็นช่วงสร้างและขยายฐานมวลชนของคนเสื้อแดง จึงต้องรักษาภาพและความปลอดภัย มีเฉพาะปรากฎการใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่คนเสื้อเหลืองเป็นระยะแทน จนกระทั่งมีการยุบพรรคพลังประชาชน การชุมนุมจึงยุติลง

ในช่วงก่อนรัฐบาลพลังประชาชนถูกยุบ ถือเป็นช่วงทีต่างฝ่ายต่างสร้างฐานมวลชนอย่างเต็มที่ โดยผ่านสื่อหลักคือทีวีดาวเทียม แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายเสื้อแดงที่มีการพัฒนาเป้าหมาย มีการจัดการที่ดี มีระบบ มีการสร้างวาทกรรม สร้างเงื่อนไข(จริงบ้างเท็จบ้าง)ให้มวลชนมีเป้าหมายร่วมในการต่อสู้ โดยที่แท้จริงแล้วมวลชนส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจในเนื้อหา แต่ถูกครอบงำจนเหมือนกับว่าเป็นความคิดตนเอง เป็นผลงานที่ได้ประสิทธิภาพมากของทีมงานทักษิณ ในขณะที่คนเสื้อเหลือง ก็ใช้ข้ออ้างความรักสถาบันเป็นหลัก จนกลายเป็นจุดอ่อนในการยั่วยุอย่างได้ผลของทักษิณ นอกจากนั้นก็มีแต่ข้อกล่าวหาทักษิณเดิมๆ ไม่มีการสร้างเป้าหมายที่พัฒนาในเชิงการดำเนินการ เชิงยุทธศาสตร์ ลักษณะเด่นของเสื้อเหลืองคือ อดทน ยืดเยื้อ ดื้อแพ่ง เป็นรูปแบบเดิมๆตลอด และจะตอบโต้กับทักษิณทันทีโดยเฉพาะเรื่องสถาบัน โดยไม่มีการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อนทุกครั้ง

ประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมที่มาจากส่วนหนึ่งของพลังประชาชนเดิม ทันทีที่ตั้งรัฐบาลก็พบกับการต่อต้านจากเสื้อแดงในช้อกล่าวหาว่า เป็นรัฐบาลที่ปล้นอำนาจมา มีการจัดการชุมนุมต่อต้านโดยยุทธศาสตร์ย้อนรอยเสื้อเหลือง ยึดทำเนียบ ปิดถนนจุดสำคัญๆ ล้มการประชุมนานาชาติ เป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้รัฐบาล ไม่สามารถบรืหารและดูแลความมั่นคงได้ ให้กลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว และเนื่องจากความแค้นของประชาชน ที่รู้สึกว่าพรรคที่ตนเลือกมาจนชนะเด็ดขาด (แม้จะถูกยุบแต่ก็ได้ตั้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมาใหม่) กลับไม่ได้เป็นรัฐบาล บวกกับ การครอบงำทางความคิดอย่างเป็นระบบ ที่ปลูกฝังผ่านการสร้างเรื่องราว สร้างความรู้สึกร่วม สร้างความเกลียดชัง ก่อให้เกิดการจลาจลทั่วไปใน กทม. ในครั้งนี้คาดว่าฝ่ายทักษิณใช้สูตรสำเร็จ ในการสร้างความเสียหาย โดยเชื่อว่าทางรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งอาศัยทหารออกมารักษาสถานการณ์ จะต้องเกิดความรุนแรงตามธรรมชาติของทหาร ที่ไม่ถนัดกับการควบคุมการจลาจลอย่างที่ผ่านมา

แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ทักษิณคิด ผู้ชุมนุมที่กลายเป็นผู้ก่อการจลาจล ไม่บาดเจ็บล้มตายอย่างที่ทักษิณต้องการ ด้วยสาเหตูหลักๆคือ นายกอภิสิทธิ์ใช้การคิดวิเคราะห์ โดยเรียนรู้จุดอ่อนของปฎิบัติการณ์ทางทหารอย่างที่ผ่านมา ตัดเงื่อนไขที่อาจใช้เป็นข้ออ้างทุกเรื่อง และฝ่ายทหารเองมีการปรับตัวจากบทเรียนที่ผ่านมา มีการควบคุมที่เป็นระเบียบปฎิบัติ ป้องกันการล้มตายอย่างเคร่งครัด มีลำดับขั้นตอนปฎิบัติชัดเจน มีการเผยแพร่ผ่านสื่ออย่างเปิดเผย มีการแถลงการณ์ทำความเข้าใจกับประชาชนตลอดเวลา จลาจลครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ความสามารถเชิงรับ และความนิ่งของอภิสิทธิ์ ในการแก้ปัญหาที่ท้าทายและเสี่ยงในทุกย่างก้าว ที่เชื่อว่าแม้ทักษิณและพลพรรคเองคงคาดไม่ถึง พร้อมกันก็เป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนครั้งแรก ถึงความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะของทักษิณ ที่ยอมเอาชีวิตของผู้ศร้ทธาในตน และความพินาศของบ้านเมือง มาแลกกับการกลับสู่อำนาจของตนเองและพวกพ้องให้ได้

หลังจากการก่อการจลาจลครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จในการล้มรัฐบาลประชาธิปัตย์ ฝ่าย รัฐบาลเองกลับไม่มียุทธศาสตร์ในการทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดง ที่บางส่วนโกรธแค้น บางส่วนแค่โมโห บางส่วนลังเล บางส่วนเฉยๆ บางส่วนรู้สึกผิด เป็นช่วงนาทีทองที่ควรจะมุ่งตรง ในการสื่อสารทำความเข้าใจกับคนเสื้อแดงโดยตรง ตัดทักษิณ และแกนนำ ที่หลอกหาประโยชน์จากมวลชนออกไปจากการพูดคุยนั้น เพื่อให้เห็นเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการกระทำ ของคนเสื้อแดง ที่มีผลต่อเพื่อนร่วมชาติ ให้เค้าเหล่านั้นกลับไปคิดเองว่า จะยอมให้ทักษิณและพรรคพวกหลอกใช้หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องไปว่ากล่าวคนที่เค้าหลงรัก หลงเชื่อ ถ้าเค้าจะเห็น ต้องเห็นด้วยตัวเอง การที่รัฐบาลใช้วิธีการประนามทักษิณ กลับทำให้เข้าทางทักษิณเช่นเดิม ทักษิณโดนรังแกและใส่ร้ายอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์โง่เกินกว่าจะเข้าใจวิธีการพูดคุยตรงๆกับ ประชาชน

เมื่อรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ นี่คือนาทีทองของทักษิณ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยไปตลอดกาล หลังจากผิดพลาดในการก่อจลาจลอย่างหมดรูป แต่ทักษิณยังรู้ว่า ด้วยวิธีการสร้างข่าว สร้างราคาในตัวเขา ที่ยังคงมีประสิทธิภาพมากอยู่ และสิ่งที่ปลูกฝังลงในความประทับใจของคนเสื้อแดง ยังไม่มีใครชี้แนะให้เกิดการลบล้างออกด้วยคนเสื้อแดงเอง ฉนั้น ไม่ยากเลยที่จะใช้จิตวิทยาขั้นสูงจากบรรดานักวิชาการรอบตัว ในการสร้างเงื่อนไข สร้างความมุ่งมั่น สร้างวีรกรรม ใส่ลงไปในความคืดของคนเสื้อแดงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องให้เป็นเหมือนคนติดยา ต้องเสพย์ความหวังและความสุข จากทักษิณเท่านั้น ใครที่ขัดขวางการได้รับยาทักษิณ ต้องถูกทำลายล้าง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณต่อชาติบ้านเมืองมากมหาศาลแค่ไหน จงลืมอดีตที่ดีงาม มองหาอนาคตที่ร่ำรวยเท่านั้น

ด้วยบทเรียนจากการเรียนรู้และอ่านคู่ต่อสู้อย่างประชาธิปัตย์ และคนเสื้อเหลืองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ที่ไม่ว่าจะมีความคิดดีแค่ไหน พยายามมากเท่าไร แต่ก็ยังเป็นความคิดที่อยู่บนร่องรอยตามที่เคยปฎิบัติเสมอ ยุทธศาสตร์ของทักษิณในการต่อสู้แตกหักก็คือ คนไทยต้องเลือก ระหว่างสถาบันผู้ดูแลห่วงใยประชาชนแบบเดิมๆ กับทุนนิยมรักประชาชนอย่างทักษิณ ทักษิณปล่อยการแสดงออกที่ดูหมิ่นสถาบัน ออกมาเป็นระยะ ให้รัฐบาลประชาธิปัตย์และกลุ่มคนเสื้อเหลือง คนรักในหลวง วิ่งไล่ โวยวาย ด่ากลับตอบโต้คนเสื้อแดง แต่นี่คือสิ่งที่ทักษิณต้องการ ศัครูทางการเมืองของทักษิณ ที่ถูกสร้างความเกลียดชังมาตลอดเวลาจนฝังลึก ได้ถูกผูกโยงเข้ากับสถาบัน อย่างค่อยๆเป็นไปแต่ได้ผลยิ่งนัก เพราะฉนั้นในเมื่อเกลียด ประชาธิปัตย์ เกลียดคนเสื้อเหลือง ก็ต้องเกลียดสถาบันด้วย โดยไม่ต้องรู้สึกผิดในใจอีกต่อไป ไม่ว่าการรักในสถาบันจะมาจากใจบริสุทธ์หรือไม่ แต่การสู้รบทางความคิด การกระทำหลายอย่างที่ไม่มีการประเมินผลให้รอบคอบ มักต้องตกเป็นผลร้ายตามความประสงค์ร้ายของผู้ที่เข้าใจ และรู้จักอีกฝ่ายดีกว่าเสมอ

เมื่อทักษิณสามารถแยกประชาชนที่สนับสนุนตนออกจากสถาบันได้ การต่อสู้เพื่อทักษิณ ย่อมคล้ายกับคนติดยา ที่สามารถทำลายล้างทุกคนที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกปลูกฝังความเกลียดชัง ยิ่งเป็นเรื่องไม่ยาก และการปลุกระดมมวลชนครั้งใหญ่ ให้เข้ามาชุมนุมใหญ่ใน กทม. ด้วยข้อเรียกร้อง ที่เป็นเพียงข้ออ้างที่เปลี่ยนไปมาได้ เพราะการเข้ามาชุมนุม เป็นเพียงการต้องการนำคนที่มีความเกลียดชังโกรธเกรี้ยว ที่ถึงจุดอยากทำลาย มาอยู่ในภาวะกดดัน เพื่อสั่งสมพลังแห่งการประทุที่รุนแรง เช่นเดียวกับการนำดินระเบิดมนุษย์มาอัดแน่น อยู่ในภาชนะแห่งความคับแค้นที่ถูกสร้างขึ้นมาตลอดเวลา แล้วยังนำพาระเบิดมนุษย์เสื้อแดงตระเวณไปทั่ว กทม. โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างอัตราเร่ง ในการปะทะของมวลชนให้ก่อตัวและสั่งสมในมวลชนอีกด้านหนึ่งด้วย

จากการบีบคั้นรัฐบาลผู้รักษาความสงบให้ออกมาปะทะด้วย ซึ่งไม่ได้ผลจากคราวที่แล้ว คราวนี้จึงมีการเพิ่มอาวุธเข้าไปในฝ่ายเสื้อแดง สร้างความรุนแรงทางข่าวสาร และบรรยากาศที่ให้รู้สึกว่ามีการเอาชีวิตกันให้เกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่าย เพิ่มความมั่นใจในเหตุปะทะ ว่าต้องเกิดขึ้นให้ได้ และต้องมีคนตายให้มากๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ก็ล้วนเป็นประโยชน์กับทักษิณทั้งสิ้น เพราะการกล่าวอ้างว่า เป็นรัฐบาลที่ทำให้มีคนตายจากการชุมนุม ทักษิณมั่นใจว่าได้เตรียมการในทางการออกข่าว ว่าจะต้องได้ผลในการปลุกระดม สร้างความเคียดแค้น ให้แก่มวลชนทั้ง 2 ฝ่ายแน่นอน โดยเฉพาะฝ่ายเสื้อแดงที่สร้างข้อมูล การโดนกลั่นแกล้งเหยียบย่ำมาโดยตลอด ถ้ามีคนตายย่อมถูกสร้างความเชื่อและความคับแค้นได้ง่าย

และด้วยการตั้งรับที่ผิดพลาดมาโดยตลอดของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ในที่สุดยุทธศาสตร์ยึดเมือง ยั่วยุ ปั่นป่วน แบบไร้รูปแบบการชุมนุม ที่ทักษิณรู้ว่าถึงอย่างไรเมื่อถึงจุดหนึ่ง ด้วยการยึดถือกฎหมายและความถูกต้อง ของบ้านเมืองตามแนวประชาธิปัตย์ ต้องเกิดการปะทะเพื่อควบคุมสถานการณ์แน่ๆ เมื่อถึงเวลานั้นจำเป็นต้องมีคนตายให้มาก จะให้จบลงแบบคราวที่แล้วไม่ได้อีก ด้วยไม่มั่นใจว่าฝ่ายทหารอาจอดกลั้นได้ ฝ่ายทักษิณจำเป็นต้องลงมือจัดการทั้งฝ่ายทหาร เพื่อกระตุ้นเลือดนักรบให้เข่นฆ่าผู้ชุมนุม เมื่อไม่ได้ผล เพราะทหารมีวินัย และห่วงผลกระทบบานปลาย ฝ่ายทักษิณที่ต้องการความบานปลาย ก็ต้องลงมือกับผู้ชุมนุมเสียเอง และในที่สุดฝ่ายแกนนำเสื้อแดงก็ได้ศพไปแห่ ตามความตั้งใจ มีข้อสังเกตสำหรับทุกคนว่า ความพยายามในการใช้ศพหาประโยชน์ กลับไม่มีผู้ใดในแกนนำรู้สึกถึงความเคารพต่อผู้วายชนม์อย่างที่ควร นอกเสียจากหาประโยชน์จากคนตายเท่านั้น

เหตุการณ์จลาจลเกิดขึ้นต่อเนื่อง รุนแรง ยาวนาน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยการกระตุ้นความโกรธเกลียด จากการรับฟังข้อมูลที่ถูกเรียงร้อย ให้เป็นเรื่องราวที่สร้างความเคียดแค้นชิงชัง แบบที่ไม่มีคนเสื้อแดงคนใดอยากค้นหาความจริงอีกต่อไป ขอเพียงได้ฟังอะไรที่คล้องตามความเชื่อที่สั่งสมมาตลอด ก็พร้อมที่จะกระทำการใดๆก็ตามที่แกนนำสั่ง เป็นความคลุ้มคลั่งน่ากลัวอย่างไม่เคยปรากฎ ยิ่งรัฐบาลใช้ความพยายามในการควบคุมสถานการณ์มากเท่าใด ก็จะถูกแกนนำเอาไปใช้สร้างเรื่องเพื่อสร้างแรงตอบโต้ให้รุนแรงมากขึ้นเท่า นั้น มวลชนเสื้อแดงจำนวนมหาศาล ที่เชื่อว่าจำนวนมากเข้าร่วมด้วยเจตนาดีต่อบ้านเมือง ตามความเชื่อของตน กลับถูกเหล่าแกนนำ เอาความศรัทธานั้น มาหาประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัว อย่างน่าอนาถใจ

ที่มา  เฟสบุ๊ค

-------------------------------------------

บทความของคุณไพโรจน์ ได้แบ่งออกเป็นซีรี่ส์ 3 ตอนจบ ส่วนตอนที่ 2 จะเป็นตัวตน กับการอ่านความคิดลงลึกเข้าไปในใจของทักษิณ ชินวัตร ตอนที่ 3 ซึ่งเป็นบทจบ จะเป็นบทสรุปทั้งหมด และคำแนะนำ เพื่อมิให้ความเสียหายเกิดขึ้น รวมทั้งคำถามที่บาดลึกในใจทุกฝ่าย น่าสนใจทีเดียวครับ

คราวหน้าผมจะนำตอนที่ 2 มานำเสนอต่อ อยากให้ทุกท่านได้อ่าน เพราะการต่อสู้ หรือ ขัดขวาง ทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้กระทำการใด อันน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนนั้น จะเอาเพียงแค่ความเกลียดชังทักษิณ มาเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ ควรที่เข้าไปให้ลึกถึงจิตใจของทักษิณด้วย สู้ด้วยสติ อย่าสู้ด้วยโทสะ

อย่าลืมว่า จากตำราพิชัยสงคราม กลการศึกของซุนหวู่ที่ประสบความสำเร็จคือ "รู้เขา รู้เรา รบมิรู้พ่าย" หากเราทำได้ เมื่อนั้น ฝ่ายที่ประสงค์ร้ายจะพ่ายแพ้ อย่างโงหัวไม่ขึ้น กับการที่เราไปรบกันหวังให้แตกหัก แต่เขาไม่หัก เราอาจเป็นฝ่ายหักเอง ฉุกคิดสักนิด อย่าเดินไปตามเกมส์ที่ถูกวางไว้ ขอเพียงใจร่มๆ สู้ด้วยวิธีของสุภาพบุรุษในสนามรบ

จากต้นตอ จนถึงบั้นปลายของปัญหา หากเราทำให้ความรักและความสามัคคี กลับคืนมาสู่คนไทยทั้งชาติได้ เชื่อว่า ใครที่คิดจะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่ประโยชน์ในความต้องการของตน จะต้องกลายเป็นผู้ผิดหวัง และ พ่ายแพ้ตลอดกาลอย่างแน่แท้

คำขงจื้อ


  • ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
    ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
    เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
    เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
    เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
    ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
     
  • นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
     
  • ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
    ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
    ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
     
  • ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
     
  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
    แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
     
  • เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
    เดินหมากรุกยังต้อง " คิด "
    เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
     
  • เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
    เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
    ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
     
  • การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
    ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่
    ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
    ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
     
  • อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
     
  • เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ"
    เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
    เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ"
    เขามีความหมายว่า "ไม่"
    เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต
    ( เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร )
     
  • เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
    เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
    เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
    ( สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ )
     
  • คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
     
  • ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
    คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น
    แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
     
  • “หากมนุษย์ขาดซึ่งมนุษยธรรม เขาจะมีอะไรข้องเกี่ยวกับขนบจารีตได้เล่า หากมนุษย์ขาดซึ่งนุษยธรรม เขาจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับดนตรีได้เล่า?”
     
  • ขงจื๊อ กล่าวไว้ ให้ทำการศึกษา เรียนรู้ข้อเท็จจริง
    อย่าฟังแต่ความเห็น คำนินทา ดังคำกล่าวว่า
     
  • คนมีเมตตา ต้องฉลาด ไม่งั้นจะโดนหลอกได้ง่าย
    คนฉลาด ต้องศึกษาสิ่งรอบตัว ไม่งั้นจะประพฤติตัวผิดได้ง่าย
    คนซื่อสัตย์ คนตรง คนกล้า ต้องฉลาด ต้องศึกษา
    เพราะจะหุนหันพลันแล่นและมีภัยใกล้ตัวง่าย
    คนอยากมีอำนาจ ต้องศึกษา
    เพราะคนรอบข้างอาจรู้สึกโดนข่มเห่ง และดูวางโตได้ง่าย
     
  • โลกเรายังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้
    ฉลาด เก่ง คงไม่พอ แต่ต้องมีสติ รู้จักวางตัว
    และต้องหมั่นศึกษาและติดตามข่าวสารที่เป็นความรู้ทั้งในสายวิชาชีพ
    และการใช้ชีวิตในสังคมอีกด้วย ก่อนสิ้นใจ
     
  • ขงจื๊อได้ทิ้งท้ายข้อความไว้กับ ซื่อคง ไว้ว่า
    “ ขุนเขาต้องพังทลาย ขื่อคานแข็งแรงปานใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมือนเช่น บัณฑิตที่สุดท้ายต้องร่วงโรย ”
     
  • หลักความรู้ ศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้
    ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์
    โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษ และพิธีการโบราณ
    ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้
    จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
     
  • แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ
    ขยายพรมแดนความรู้
    จริงใจ
    แก้ไขดัดแปลงตน
    บ่มความรู้
    ประพฤติตามกฎบ้านเมือง
    ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก
     
  • ลำดับการเรียนรู้ ได้แก่ พิธีกรรม
    ดนตรี
    ยิงธนู
    ขี่ม้า
    ประวัติศาสตร์
    และ คณิตศาสตร์
     
  • คุณธรรมทั้งสาม ที่ได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ภูมิปัญญา
    เมตตากรุณา
    และความกล้าหาญ
     
  • สี่ขั้นตอนหลักการสอน ได้แก่ ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี
    ตั้งตนในคุณธรรม
    อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล
    สร้างสรรค์ศิลปะใหม่
     
  • สี่ลำดับการสอน ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ
    ภาษาและการพูดจา
    รัฐบาลและกิจการบ้านเมือง
    และสุดท้าย คือ วรรณคดี

มารู้จักคำสำคัญในศีล5คำว่า:สุรา, เมรัย, มัชชะ

สองครั้งแล้ว ต่างคน ต่างวาระ ที่ได้ยินการตีความศีลข้อห้าแบบแปลกๆ โดยพยายามอ้างบาลีด้วย ในทำนองว่า พุทธบริษัทส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า ศีลข้อห้านั้นให้งดดื่มเหล้า ทั้งที่จริงให้ดื่มแต่พอดี แล้วก็ยกวลี "มชฺชปมา" ใน "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา.." มาประกอบ ว่าหมายถึง "มัชฌิมา" คือปานกลาง ซึ่งเป็นการลากคำเข้าความ และเห็นว่าเรื่องนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจทางภาษา เลยยกมาเขียนใน lang4fun เสียหน่อย เริ่มจากแยกคำบาลีเสียก่อน "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา" ประกอบด้วยคำว่า "สุรา", "เมรัย", "มัชชะ", "ปมาท" และ "ฐานา" ซึ่งสามคำแรก มีความหมายถึงเครื่องดองของเมาชนิดต่างๆ ดังนี้ สุรา น. เหล้า, น้ำเมาที่ได้จากการกลั่น, (มักใช้เป็นทางการ), เช่น ร้านนี้ขายแต่สุราต่างประเทศ. (ป., ส.). เมรัย น. น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่, น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น. (ป.). มัชชะ น. น้ำเมา, ของเมา. (ป. มชฺช). โดยมีคำว่า มัชวิรัติ ที่แปลว่า การงดเว้นของมึนเมา ซึ่งคงจะตรงกับภาษาอังกฤษว่า teetotal ด้วย กล่าวคือ "สุรา" หมายถึงน้ำเมาที่กลั่นแล้ว ได้แก่พวกเหล้าวิสกี้ บรั่นดี เป็นต้น ส่วน "เมรัย" หมายถึงน้ำเมาที่ยังไม่กลั่น เช่น ไวน์ เบียร์ กระแช่ เป็นต้น และคำที่เป็นปัญหา คือ "มัชชะ" นั้น ก็หมายถึงของมึนเมาโดยรวม ซึ่งนอกจากสุราและเมรัย ก็ยังรวมถึงยาเสพย์ติดชนิดอื่นๆ ที่ทำให้มึนเมา เช่น ทินเนอร์ กัญชา ฝิ่น เฮโรอีน ยาบ้า ทั้งหลายแหล่ด้วย ส่วน "ปมาทฏฺฐานา" ก็เป็นการสนธิคำ "ปมาท" (ประมาท) กับ "ฐานา" (ที่ตั้ง) รวมความว่า "อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท" "สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา" จึงแปลว่า "ของมึนเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มีสุราและเมรัยเป็นต้น" และเมื่อรวมทั้งบท จึงมีความหมายที่ขอยกบทสวดมนต์แปลมาอ้างอิง: สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการเสพของเมา มีสุราและเมรัยเป็นต้น อันเป็นที่ตั้งของความประมาท ส่วน "มชฺฌ" ที่แปลว่า "ท่ามกลาง" นั้น สะกดด้วย ช และ ฌ ไม่ใช่ ช ซ้อนกันสองตัว ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า "มธฺย" ส่วน "มัชฌิม" ก็เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง "ปานกลาง" ตรงกับคำสันสกฤตว่า "มัธยม" นั่นเอง งดเหล้าเข้าพรรษากันดีกว่านะครับ อย่าพยายามเลี่ยงบาลีเลย ^_^

ยี่สิบม้วนจำจงดี

 

ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ

ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ     มิหลงใหลใครขอดู

จะใคร่ลงเรือใบ     ดูน้ำใสและปลาปู

สิ่งใดอยู่ในตู้     มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง

บ้าใบ้ถือใยบัว     หูตามัวมาใกล้เคียง

เล่าท่องอย่าละเลี่ยง     ยี่สิบม้วนจำจงดี.

 

๒๐  ไม้ม้วน

ใหญ่     ใฝ่     ใคร่     ใช่

ใหม่     ใจ     ใบ     ใต้

ให้     ใส่     ใส     ใบ้

สะใภ้     หลงใหล     ใด     ใย

ใช้     ใคร     ใน     ใกล้

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผลงานนี้ ใช้ สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย .