เจนวาย คืออะไร

เรื่อง "เจนวาย" คำนี้มาจากวิชาประชากรศาสตร์ (Population) ซึ่งเป็นแขนงของวิชาสังคมวิทยา (Sociology) ที่อยู่ในสาขาของวิชาสังคมศาสตร์ ซึ่งตัวนิสิตผู้มาถามเรื่องเจนวายนี้เป็นนิสิตรัฐศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาในสาขาสังคมศาสตร์เช่นกันดังนั้นก็ควรจะรู้ไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องเจนวายนี้เริ่มมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาแต่มีลักษณะเป็นสากลทั่วโลกเพราะเจนวายนี้ถือเป็นกลุ่มคนที่โตมากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่มีอินเตอร์เน็ตแพร่หลายแล้วคือบรรดาคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ.2523-2543
เรื่องอินเตอร์เน็ตนี่สำคัญมากนะเพราะคนรุ่นผู้เขียน (55-75 ปี) ส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตกันไม่ค่อยเป็นหรอก
ดังนั้นตรงนี้สำคัญ ต้องจำเอาไว้ให้ดีเป็นหลักเลย พวกเจนวายนี้ได้เข้าสู่ตลาดแรงงานมาได้สักพักหนึ่งแล้วทางวิชาประชากรศาสตร์เขาใช้เกณฑ์ช่วงอายุ (Generation) เป็นตัวกำหนดการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ เพราะคนต่างช่วงอายุกันนี่ความต้องการในชีวิตนี่ต่างกันมากนะ ดังนั้นบรรดาผู้ที่ทำงานในฝ่ายบุคคลก็จำเป็นต้องรู้ลักษณะทั่วไปของกลุ่มคนที่ทำงานในองค์กรของตน
และเหล่านักการตลาดทั้งหลายที่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายจึงต้องเอาความรู้ตรงนี้ไปใช้มากทีเดียว อาทิ การผลิตเสื้อผ้าออกมาขายจะผลิต ขนาดรูปร่างไหน สีอะไร สไตล์ยังไง นี่สำหรับคนหนุ่มสาวกับคนแก่นั้นมันคนละเรื่องกันเลย
จะให้รู้เรื่องเจนวายจริงๆ ต้องศึกษาย้อนกลับไปถึงช่วงอายุ (Generation) อื่นๆ ด้วย


1.เจนบี (Baby Boom Generation-Generation B) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507 อายุ 45-63 ปี บรรดาคนพวกนี้เกิดมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน
คนที่เป็นเจนบีนี้เยอะมาก เรียกว่าบูม! คือเด็กเกิดกันแบบระเบิดเลยละ พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิต จากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด (การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2475 ก็มีผลโดยตรงจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำปี พ.ศ.2472 เหมือนกัน)
คนเจนบีเติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน
คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากมีความจงรักภักดีกับองค์กรสูง


2.เจนเอ็กซ์ (Generation X) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2508-2522 อายุ 30-44 ปี คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลานของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วง พ.ศ.2508-2522 นี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และแนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางทีก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม)
บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้เติบโตขึ้นมาได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance)
พูดง่ายๆ คือไม่บ้างาน พยายามที่จะมีเวลากับครอบครัว มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง ไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เรียกกลุ่มนี้อีกอย่างว่าพวกยัปปี้-Yuppie (Young Urban Professionals)
ว่ากันว่าบรรดาคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีบารัค โอบามา นั้นส่วนใหญ่เป็นคนเจนเอ็กซ์


3.เจนวาย (Generation Y) คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523-2543 อายุ 9-29 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที
พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกันมากเข้าเรื่องก็มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร
พวกเจนวายนี้เริ่มจากการบ่นกันเองอย่างรำคาญที่ผู้ใหญ่ทะเลาะกันแล้วมาลงที่เด็ก Why me?
พวกเจนวายเป็นวัยที่จัดว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข
คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่า สิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันแบบว่าชอบส่งอี-เมลมากกว่าพูดกันต่อหน้า
ทำนองว่าไม่ชอบทะเลาะว่ายังงั้นเถอะ ทำให้พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก
เกณฑ์การจัดแบ่งกลุ่มคนเป็นกลุ่มช่วงอายุนี้เราใช้เกณฑ์ของอเมริกันนะ
หากจะเอามาใช้ในเมืองไทยคงต้องปรับกันบ้างพอสมควรเนื่องจากเมืองไทยบ้านเรานั้นการวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีนั้นช้ากว่าสหรัฐอเมริกามากหากจะยึดหลักอเมริกันมาใช้ในเมืองไทยเลยอาจมีปัญหา
แต่ทุกวันนี้เห็นทางธุรกิจในบ้านเรา เขาเอามาใช้กันเกร่อไปเลย

มีใครเคยรู้ฉายาดินแดนของประเทศต่างๆ ทั่วโลกบ้าง?

ลำดับที่ ชื่อของสมญานาม เป็นสมญานามของ
1. ทวีปแห่งความแตกต่าง ทวีปเอเชีย
2 .เกาะทวีป ทวีปออสเตรเลีย
3. อังกฤษแห่งบูรพา ประเทศญี่ปุ่น
4. ทางแยกแห่งตะวันออกไกล ประเทศสิงคโปร์
5. เกาะเครื่องเทศ เกาะโมลุกกะของอินโดนีเซีย
6. แมนเชสเตอร์ของญี่ปุ่น เมืองโอซาก้า
7. แม่น้ำวิปโยค แม่น้ำฮวงโห(แม่น้ำเหลือง)
8.ไข่มุกแห่งภาคตะวันออก ประเทศศรีลังกา
9. สวิสแห่งเอเชีย เทือกเขาหิมาลัย
10. ดินแดนแห่งแกงกะหรี่ ประเทศเปอร์เชียร์
11. ดินแดนแห่งเมืองยิ้ม ประเทศไทย
12. ดินแดนแห่งพระอาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่น
13. ดินแดนน้ำนมและน้ำผึ้ง ประเทศอิสราเอล
14. เวนิสแห่งภาคตะวันออก กรุงเทพมหานคร
15. ขั้วแห่งความเย็น เมืองเวอร์โคยันสก์ในไซบีเรีย
16. นครรัฐระหว่าง2ทวีป เมืองอิสตันบูลในตุรกี
17. บริเตนแห่งภาคตะวันออก ประเทศญี่ปุ่น
18. แมนเชสเตอร์ของอินเดีย เมืองบอมเบย์ในอินเดีย
19. ดินแดนแห่งทะเลทั้ง5 เอเชียตะวันตกเฉียงใต้
20. หลังม่านไม้ไผ่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
21. ดินแดนที่สะอาดที่สุด ประเทศสิงคโปร์
22. เมืองเปียก เมืองเชอราปุนจิของอินเดีย
23. เมืองขั้วหนาว เมืองเวอร์โคยันส์กของรัสเซีย
24. ช่องแคบที่ยาวที่สุด ช่องแคบมะละกา
25. ทะเลแห่งความเค็ม ทะเลสาบเดดซีระหว่างจอร์แดนและอิสราเอล
26. ทะเลตาย ทะเลสาบเดดชี
27. ดินแดนแห่งเกาะโลก ประเทศฟิลิปปินส์
28. หลังคาโลก ธิเบต
29. แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ แม่น้ำคงคาในอินเดีย
30. ดินแดนแห่งพระเจดีย์ ประเทศสหภาพพม่า(เมียนมาร์)
31. ดินแดนแห่งการกำเนิดศาสนา ประเทศอินเดีย
32. ทะเลขาว ทะเลภายในประเทศรุสเซีย
33. ทะเลกลางธรณี ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
34. ทวีปแห่งน้ำแข็ง ทวีปแอนตาร์กติก
35. สนามกีฬาแห่งกรุงโรม สนามกีฬาโลโลซิมอัลอิตาลี
36. พิพิธภัณฑ์แห่งสงคราม พิพิธภัณฑ์ในกรุงปรารีส ฝรั่งเศส
37. ประตูชัยแห่งกรุงปรารีส ประตูในประเทศฝรั่งเศส
38. ชนชาติแห่งมักกะโรนี ชาวอิตาลี
39. ป้อมเทวดาแห่งกรุงโรม พิพิธภัณฑ์ในประเทศอิตาลี
40. ถนนหลวงของยุโรป แม่น้ำไลน์
41. กำแพงเย็น กำแพงนอกฝั่งนิวฟันด์แลนด์
42. ถ้วยน้ำตาลของโลก ประเทศคิวบา
43.หม้อกาแฟของโลก ประเทศบราซิล
44. กระดูกสันหลังของยุโรป เทือกเขาแอลป์
45. ประตูสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลต้า
46. เบอร์มิงแอมแห่งแคนาดา เมืองแฮมิลตัน
47. ยักษ์หนุ่มแห่งภาคใต้ ประเทศอาร์เจนตินา
48. บิดาแห่งชนชาติอเมริกัน ยอร์ช วอชิงตัน
49. ประธานาธิบดีแห่งทาสนิโกร อับราฮัม ลินคอล์น
50. เจ้าแห่งทะเลน้ำจืด ทะเลสาบสุพีเรีย
51. ชาวจีกี้ ชาวนิวซีแลนด์
52. สวิสแห่งใต้ ประเทศนิวซีแลนด์
53. ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ประเทศอิสราเอลหรือปาเลสไตน์
54. ดินแดนแห่งโรงนม ประเทศแดนมาร์ก
55. ดินแดนแห่งฟยอร์ด ประเทศนอร์เวย์
56. ดินแดนแห่งดอกทิวลิป ประเทศเนเธอร์แลนด์
57. ดินแดนแห่งที่ราบสูง ทวีปแอฟริกา
58. ระฆังแห่งอิสรภาพ ระฆังในประเทศสหรัฐอเมริกา
59. เมืองแห่งการพนัน เมืองมอนติคาร์โล ประเทศมอนาโค
60. เมืองแห่งคลอง เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
61. เมืองแห่งหมอกควัน เมืองพิตเบอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
62. แม่น้ำนานาชาติของทวีปยุโรป แม่น้ำไรน์
63. ทวีปมืด ทวีปแอฟริกา
64. อมตนคร กรุงโรม ประเทศอิตาลี
65. ดินแดนแห่งโรงสีลม ประเทศเนเธอร์แลนด์
66. ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืน ประเทศนอร์เวย์
67. ดินแดนแห่งหมี่นทะเลสาป ประเทศฟินแลนด์
68. เจ้าแห่งแม่น้ำ แม่น้ำอะเมซอน
69. คะแนลโซน ดินแดนแห่งสองฝั่งคลองปานามาของสหรัฐอเมริกา
70. กำแพงแห่งความอัปยศ กำแพงเบอร์ลินซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับตะวันออกในเยอรมนี
71. เมืองในหมอก กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
72. สวนแห่งยุโรป ประเทศเนเธอร์แลนด์
73. ชิคาโกของรัสเซีย เมืองยูเครน
74. ทะเลแห่ง3ทวีป ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
75. ปารีสน้อย กรุงบรัสเซล
76. นครแห่งผู้ชาย กรุงลอนดอน แห่งอังกฤษ
77. นครแห่งผู้หญิง กรุงปารีสแห่งฝรั่งเศส
78. ลุงแซม สหรัฐอเมริกา
79. กระดูกสันหลังแห่งอังกฤษ เทือกเขาเพนไนน์
80. ดินแดนแห่งเบียร์ ประเทศเยอรมนี( เบียร์ถูกกว่าน้ำเปล่าเสียอีก)
81. ดินแดนกลางของโลก(การเมืองไม่ขึ้นกับใคร) สวิสเซอร์แลนด์
82. ดินแดนอาหรับกลาง อิยิปต์

สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์
ผลงานนี้ ใช้ สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย .